‘กอบศักดิ์’ ชี้ตลาดทุนจับตาหลังเลือกตั้ง ขอรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ หวั่นตั้งช้า-ไม่ชัดเจนทำปั่นป่วน

‘กอบศักดิ์’ ชี้ตลาดทุนจับตาหลังเลือกตั้ง ขอรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ รภาพ หวั่นจัดตั้งช้า-ไม่ชัดเจนทำปั่นป่วน

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้เลือกข้างแต่ละพรรคการเมือง แต่ตลาดมีความต้องการความแน่นอนและความมีเสถียรภาพหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นหัวใจของภาคการลงทุน โดยหากเลือกตั้งแล้วเสร็จแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ จะมีผลกระทบทำให้ตลาดปั่นป่วนแน่นอน เพราะนักลงทุนมีความกังวลใจ แต่หากเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลที่มั่นคง และมีนโยบายที่ชัดเจน เชื่อว่าจะตลาดจะปรับตัวได้

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะมีผลต่อตลาดทุนอย่างไรนั้น เบื้องต้นต้องบอกว่าตลาดทุนชอบความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้หากรัฐบาลมีเสถียรภาพไม่มากพอ ก็จะเกิดความกังวลใจแบบมากๆ แทน ซึ่งหากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เสถียรภาพก็จะมียาก โดยเมื่อจบเลือกตั้งแล้วจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า เสถียรภาพของรัฐบาลจะมีมากน้อยเท่าใด ซึ่งเป็นจุดกำหนดความเข้มแข็งของตลาดทุนไทยต่อไป เนื่องจากตลาดทุนเป็นกลาง ไม่ได้เลือกข้างใด แต่มองไปที่ความมั่นคงของรัฐบาลและนโยบายที่ชัดเจนที่จะออกมาต่อจากนั้นมากกว่า

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ประเมินนโยบายของหลายพรรคการเมืองที่มีผลต่อการใช้จ่ายจากงบประมาณค่อนข้างมากนัก มองว่าในช่วงการเลือกตั้งจะมีประชันนโยบายหาเสียงกันเต็มที่ แต่เมื่อเป็นรัฐบาลจะเจอข้อจำกัดของงบประมาณ ซึ่งต้องเลือกว่าจะทำอะไรดีที่สุด ซึ่งส่วนตัวมองว่าช่วงปลายปีการกระตุ้นเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ดี ควรทำบ้าง เพราะเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจบางส่วนจะดันภาพรวมไปต่อได้ แต่ต้องไม่กระตุ้นจนเป็นนโยบายถาวร ควรทำเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะรัฐบาลมีหนี้สูงมากแล้ว รวมถึงมีกรอบที่กำหนดการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการต่างๆ โดยในภาคตลาดทุนไทย อยากเห็นการทำมาตรการระยะยาว และสามารถสร้างอนาตจให้ประเทศไทยได้มากขึ้น

ADVERTISMENT

“รัฐบาลต้องมีนโยบายในการพัฒนาภาคการผลิต สร้างฐานการผลิต กระตุ้นอุตสาหกรรม 4.0 ในทุกด้าน อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยว ศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ต้องมีแผนรองรับ รวมถึงโครงการที่อยากให้ดำเนินการต่อเนื่อง คือ กิโยติน หรือการแก้ไขกฎหมาย เพื่อลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ เพราะไม่มีต้นทุนในการดำเนินการ แต่ต้องใช้ความตั้งใจ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการแข่งขันที่ดีขึ้น ลดต้นทุนได้ และมาตรการดึงดูดการลงทุนในต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้มปลามีจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เราจับปลาไม่ได้” นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดทุนจะรวบรวมมาตรการที่เหมาะสมในการนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่อีกครั้ง อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวม (เอสเอสเอฟ) ที่มีการทดลองใช้กองทุนเอสเอสเอฟ มาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว พบว่าเอสเอสเอฟไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ โดยหากเทียบกับแอลทีเอฟที่เคยมีอยู่นั้น ประเมินแล้วแอลทีเอฟสามารถช่วยสร้างเม็ดเงินในมูลค่าการลงทุนและเก็บออมของประชาชนได้ดีมากพอสมควร โดยโจทย์สำคัญคือ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบเต็มตัว แต่คนส่วนใหญ่ยังออมเงินไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพช่วงสูงวัย ทำให้หากสามารถมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้คนออมเงินได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอลทีเอฟ หรือผลิตภัณฑ์อื่น เพื่อออมเงินให้เพียงพอแต่แรก จะสามารถช่วยลดภาระที่สำคัญของรัฐบาลในอนาคตได้

ADVERTISMENT

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ผลกระทบการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐต่อตลาดทุนไทยนั้น สิ่งที่สร้างความกังวลใจเป็นส่วนของผลประกอบการ (บจ.) ในสหรัฐที่ถูกกระทบ จากเดิมที่คาดว่าจะดีแต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามคาด ส่งผลต่อการปรับตัวของราคาสินทรัพย์ในตลาดหุ้นหลักของโลกช่วงต่อไป ซึ่งสิ่งที่มองไม่ทะลุคือ การจะมีปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์มากน้อยเท่าใด และวิกฤตการเงินในสหรัฐจะกลับมาอีกหรือไม่ หากลุกลามไปเรื่อยๆ จะเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนนี้ไม่สามารถรู้ได้ว่าภาพจะเกิดอะไรขึ้น

“ประเทศไทย เศรษฐกิจยังพอไปได้ คาดการเติบโตอยู่ประมาณ 3% โดยภาคการท่องเที่ยวหากรัฐบาลสามารถปลดล็อกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้สะดวกมากที่สุด แม้จะต้องยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นเวลา 1 ปี ก็ถือว่าดี เพราะอยากให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยได้สะดวกมากที่สุดก่อน เนื่องจากต่างชาติมีการใช้จ่ายแบบหลักหมื่นหลักแสน จึงอยากให้นักท่องเที่ยวสามารถทำวีซ่าได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์จีน เพื่อให้เราพ้นปี 2566 นี้ไปก่อน เพราะประเมินว่าหากสามารถทำได้ เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังไปต่อได้” นายกอบศักดิ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image