‘ตัวตึงเอกชน’ มอบโจทย์ รัฐบาลใหม่ โชว์ฝีมือด่วน…ปั๊มเศรษฐกิจไทย!!

‘ตัวตึงเอกชน’ มอบโจทย์ รัฐบาลใหม่ โชว์ฝีมือด่วน...ปั๊มเศรษฐกิจไทย!!

ใกล้เข้ามาทุกห้วงขณะ สำหรับโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ ที่กำลังเดินหน้าประกอบร่างอย่างเข้มข้น หลังการเลือกตั้งอีกหน้าประวัติศาสตร์ของไทยจบลงแล้ว

แน่นอนว่ารัฐบาลชุดนี้คือความหวังของประชาชนคนไทยทุกคน เนื่องจากที่ผ่านมาไทยเผชิญทั้งความถดถอยทางเศรษฐกิจ และโรคระบาด ส่งผลให้หลายธุรกิจปิดตัวกันเป็นระนาว แม้ตอนนี้เริ่มเห็นแสงสว่างบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนฝนยังตกไม่ทั่วฟ้า!!

⦁หนุน รบ.ใหม่กระตุ้น ศก.
“มติชน” สัมภาษณ์บิ๊กเอกชนชั้นนำของไทยเพื่อมอบโจทย์รัฐบาลชุดใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศ

เริ่มจากความคิดเห็นจาก สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า อยากเห็นรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ มีความต่อเนื่องเพื่อให้นโยบายต่างๆ ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้นำประเทศหรือนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องดึงทุกภาคส่วนมาทำงานอย่างใกล้ชิด ส่วนนี้เชื่อว่าแต่ละพรรคมีทีมงานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง มีความสามารถพร้อมที่จะเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ทันที

Advertisement

สำหรับการดำเนินนโยบายฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ แต่ต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศให้เหมาะสมและไม่สร้างภาระทางการคลังในอนาคต รวมถึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เห็นความสำคัญ และทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เพราะเอกชนคือตัวจริงในสนามแข่งขัน มีข้อมูลเชิงลึก และมีแนวทางเป็นประโยชน์ต่อนโยบายของรัฐบาล ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า

อย่างไรก็ดี เชื่อว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง คงออกมาในลักษณะการจัดตั้งรัฐบาลผสม สิ่งที่หอการค้าฯเป็นห่วงและอยากฝากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการคือ การเดินหน้าแผนงานโครงการต่างๆ ที่เป็นแผนงานต่อเนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพราะส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการใช้เม็ดเงินในแต่ละพื้นที่ หากจะทบทวนการใช้งบประมาณต้องเร่งดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด เพื่อให้เศรษฐกิจแต่ละจังหวัดเกิดการขับเคลื่อนต่อเนื่อง

⦁ปลดล็อกกฎหมายเอื้อลงทุน
ด้าน เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า คาดหวังรัฐบาลชุดใหม่เท่าทันต่อยุคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เพราะสิ่งที่พูดมาตลอดเวลาคือเรื่องการทำธุรกิจ ประเทศไทยเป็นลักษณะค่อยๆ ปรับปรุง ถือว่าช้าเกินไปกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก และกระแสเทคโนโลยี

Advertisement

ดังนั้น รัฐบาลต้องปลดล็อกกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน หรือการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ให้หมด แล้วออกกฎหมาย ออกกติกาเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ ค่าไฟฟ้าแพงทำให้ประเทศไทยแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ยาก ยกตัวอย่าง ประเทศเวียดนาม มีอัตราค่าไฟฟ้าประมาณ 2.80 บาทต่อหน่วย ถูกกว่าไทยเกือบเท่าตัว ผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ไทยต้นทุนแพงกว่าทำให้ไทยเป็นรองเวียดนาม และปีนี้เริ่มมีหลายประเทศย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนามแล้ว

ปัจจุบันเอกชนหลายรายพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ กฎหมายกำหนดค่าไว้ไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ โรงงานผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ ถ้าเกินต้องไปขอใบอนุญาต ร.ง.4 จากกระทรวงอุตสาหกรรม ยังไม่เพียงพอตอบโจทย์การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ รัฐบาลต้องปลดล็อกให้เอกชนลงทุนเพื่อได้พลังงานสะอาดที่ถูกกว่ามาทดแทนพลังงานหลักในปัจจุบัน

⦁ค่าไฟ-น้ำมันต้องแก้เร่งด่วน
ขณะที่ ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้ความเห็นว่า เรื่องแรกที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องแก้ไขโดยด่วนคือ ค่าไฟ และค่าน้ำมัน เป็นต้นทุนและภาระหลักของผู้ประกอบการและภาคประชาชน แม้ตอนนี้ภาครัฐเริ่มปรับราคาน้ำมันดีเซลลงอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนพอ และภาครัฐควรฟังความคิดเห็นรวมถึงเสียงสะท้อนจากทุกฝ่าย รวมถึงยึดถือข้อมูลความเป็นจริง ไม่เอื้ออำนวยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอให้ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เอกชนอยากได้นายกรัฐมนตรีที่สั่งเก่ง เข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด

นอกจากนี้ สรท.อยู่ระหว่างการทำสมุดปกขาว รวบรวมข้อมูลด้านการค้า การส่งออกของไทยเพื่อเสนอรัฐบาลชุดใหม่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนการส่งออกไทย รวมถึงเปิดเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หรือการเจรจาต่างๆ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ทำไว้แล้ว อาทิ เจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ควรทำต่อเนื่อง รวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐาน และโลจิสติกส์ต่างๆ ควรทำต่อเนื่อง ส่วนเรื่องใหม่ที่ต้องทำ คือเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปี 2566 มีโอกาสจะเกิดภาวะภัยแล้ง รัฐบาลชุดใหม่ต้องเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า

⦁แนะใช้เงินแก้ปัญหาให้ตรงจุด
ฟาก แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ให้ความเห็นว่า สิ่งที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการเป็นเรื่องแรก คือมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อเร่งกระจายรายได้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการและประชาชน สิ่งสำคัญคือมาตรการที่เข้าไปสร้างความยั่งยืนกับผู้ประกอบการ ไม่ใช่เป็นมาตรการที่ใช้เงิน เพราะการกระทำดังกล่าวกระตุ้นเศษฐกิจอย่างวูบวาบ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ยกตัวอย่าง โครงการคนละครึ่ง คนอยากใช้ไม่ได้ใช้ คนใช้ก็ไม่ถูกกลุ่มเป้าหมายที่รัฐอยากช่วย ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลชุดใหม่จะนำออกมาใช้ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นสำคัญ

อีกทั้งอยากให้รัฐบาลลดจำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทุกวันนี้เอสเอ็มอีไม่ได้ดีใจกับนโยบายเพิ่มจำนวนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าในประเทศคนจนมากขึ้น รัฐบาลควรตั้งเป้าหมายลดจำนวนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลง หรืออย่างน้อยควรลดให้ได้ 10% ต่อปีและอยากให้เพิ่มสินเชื่อธนาคารพาณิชย์จากเดิมเป็นสินเชื่อเอสเอ็มอีประมาณ 20% ของสินเชื่อทั้งหมด เพิ่มเป็น 30-50% เพื่อผลักดันเอสเอ็มอีเข้าไปอยู่ในระบบเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีได้ต้นทุนดอกเบี้ยถูกลง อยากได้ 4% หรือไม่เกิน 8% หากรัฐช่วยเรื่องวินัยทางการเงิน หนุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปประกอบกิจการ เกิดการจ้างงาน จะสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจ

จากความคิดเห็นดังกล่าว เป็นภาพใหญ่ที่ภาคเอกชนหวังรัฐบาลชุดใหม่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไร้รอยต่อ น่าติดตามว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่หวังจะสมปรารถนา หรือต้องเอามือก่ายหน้าผากกันอีกรอบ รอลุ้น!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image