หุ้นร่วง 3 วันติด ปิดลบ 12.81 จุด รับ ‘เฟด’ ย้ำเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย-การเมืองยังเสี่ยง

หุ้นร่วง 3 วันติด ปิดลบ 12.81 จุด รับ ‘เฟด’ ย้ำเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย-การเมืองยังเสี่ยง

วันที่ 22 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,522.12 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,509.31 จุด ปรับลดลง 12.81 จุด หรือ 0.84% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,525.26 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,506.09 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 46,825.48 ล้านบาท

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่อง และเร่งตัวลงช่วงก่อนปิดตลาดเช้า เนื่องจากมีแรงขายมากในหุ้นกลุ่มพลังงาน ไอซีที และค้าปลีก กดดันดัชนี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำถึงการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายต้องการคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับ 2% จึงเป็นประเด็นกดดันตลาดโลกอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าตลาดมองว่าทิศทางดอกเบี้ยน่าจะถึงจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึงปัจจัยการเมืองเรื่องการโหวตประธานสภาฯ ยังมีความไม่แน่นอน ก่อนจะเห็นดัชนีลดช่วงลบลงในการซื้อขายภาคบ่าย แต่ไม่สามารถยืนในแดนบวกได้ จึงเห็นภาพการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ รวมถึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ยังไหลออกต่อเนื่องกดดันเพิ่มด้วย

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงหลักเกณฑ์สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2566-2568) ในการเพิ่มโอกาสการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาด และเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การรับบริษัทจดทะเบียนที่มีความเข้มแข็งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงานมากขึ้น สอดรับกับที่ปัจจุบันมีตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพที่ต้องการเติบโต รวมถึงสอดคล้องกับขนาดและฐานะการเงินของบริษัทในไทยในปัจจุบัน และแข่งขันได้กับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนให้เข้มข้นมากขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียนและการดูแลผู้ลงทุน

นายภากร กล่าวว่า แนวทางการปรับปรุงเกณฑ์ ได้แก่ 1.การ repositioning SET และ mai โดยปรับปรุงคุณสมบัติบริษัทจดทะเบียนตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใน SET และ mai ซึ่งจะเพิ่มกำไรเพื่อรองรับบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น และเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแรงขึ้น โดยกำหนดทุนชำระแล้ว (Paid-up capital) เริ่มต้นเท่ากัน เพื่อให้ส่วนของทุนมีความสอดคล้องกับลักษณะการประกอบธุรกิจ และบริษัทผู้ระดมทุนสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) และการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน (Public Offering) สำหรับบริษัทขนาดเล็กให้สูงขึ้น เพื่อดูแลสภาพคล่องในตลาดรอง 2.การยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ทั้งเพิ่มการเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย “C” กรณีบริษัทมีฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มลดลง และเพิ่มความเข้มงวดในการเพิกถอน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image