ผู้เขียน | เกษมณี นันทรัตนพงศ์ |
---|
วิชนารถ สิริสิงห์
ยอมทิ้งฝันใหญ่ที่อเมริกา
สร้างฝันใหม่…สานต่อธุรกิจพ่อให้ไกลกว่าเดิม
ในวันเปิดตัวสโตร์ แบรนด์ “XLARGE” แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สยามเซ็นเตอร์ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีโอกาสได้พบผู้บริหารหนุ่ม วิชนารถ สิริสิงห์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บางกอกสปอร์ตแวร์ จำกัด ดิสทริบิวเตอร์อย่างเป็นทางการหนึ่งเดียวของตลาดภูมิภาคนี้
ที่ทำตลาดให้ XLARGE แฟชั่นสตรีทแวร์สัญชาติอเมริกา โด่งดังมาตั้งแต่ยุค 90’s จนถึงปัจจุบัน บอกได้เลยว่า รู้สึกทึ่งไม่น้อย เพราะหน้าละอ่อนมาก
เมื่อสอบถามกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ ไม่แค่หน้าละอ่อน แต่วัยก็ละอ่อน คุณวิชนารถ หรือ “ฉัตร” เป็นผู้บริหารในวัย 27 ปี ยิ่งได้ฟังประวัติโดยสังเขปก็ยิ่งทึ่งมากขึ้น จบปริญญาโทที่ George Washington University สาขา Managing Information System สหรัฐอเมริกา จากนั้นได้เข้าทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่บริษัท Qualitest ในตำแหน่ง Quality Assurance Engineer supporting Google ที่สหรัฐอเมริกา
“กำลังสนุกกับงาน แต่โดนคุณพ่อ (วิจักษ์ สิริสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกสปอร์ตแวร์ จำกัด) เรียกตัวให้กลับเมืองไทย” คุณฉัตรเปรยให้ฟังหลังโดนยิงคำถามถึงการมาดูแลแบรนด์ XLARGE
ซึ่งจุดเริ่มต้นทำตลาดให้แบรนด์นี้ ไม่ใช่บริษัท บางกอกสปอร์ตแวร์ ติดต่อขอทำตลาด แต่กลายเป็นเจ้าของแบรนด์ที่เป็นฝ่ายเลือกบริษัท โดยมีระยะสัญญาเบื้องต้น 5 ปี
คุณฉัตรเล่าขยายความว่า “ในช่วงที่ยังทำงานที่สหรัฐ คุณพ่อได้โทรศัพท์มาขอคำปรึกษา เพราะมีคนติดต่อทาบทามชวนให้บริษัททำตลาดแบรนด์ XLARGE ในไทย แต่คุณพ่อไม่รู้จักแบรนด์นี้ ผมจึงบอกว่าแบรนด์นี้แจ้งเกิดที่นครลอสแอนเจลิส เป็นที่รู้จักของชาวอเมริกันมานานแล้ว ผมเองไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งแบรนด์ที่ดังฝั่งอเมริกาจะอยากมาทำตลาดในไทย จึงบอกพ่อว่าน่าสนใจ น่าลองทำตลาด เพราะเป็นแบรนด์ที่ติดตลาดที่ญี่ปุ่น และใน 2 เมืองใหญ่ที่อเมริกา คือ แอลเอและนิวยอร์ก คุณพ่อจึงยื่นเงื่อนไขให้ผมกลับมาทำตลาดแบรนด์นี้ เพราะพ่อไม่มีความรู้ด้านนี้ ซึ่งแบรนด์นี้ต่างชาติรู้จักดีอยู่แล้ว ส่วนลูกค้าคนไทยยังรู้จักแบรนด์แบบเฉพาะกลุ่ม จึงตัดสินใจทิ้งความฝันที่อเมริกา กลับมาไทย”
เมื่อตัดสินใจแล้ว คุณฉัตรก็มุ่งสู่ประเทศไทยพร้อมกับไอเดียในหัวถึงการทำตลาดแบรนด์ XLARGE แบบเต็มตัว วางตำแหน่งของแบรนด์คือแบรนด์ทางเลือก (Alternative) ที่จับต้องได้ เป็นแฟชั่นแบรนด์ที่ใส่ได้ทุกวัยไม่เฉพาะวัยรุ่น แต่แน่นอนว่าจุดยืนของแบรนด์คือแบรนด์วัยรุ่น แต่เป็นแบรนด์ที่มี History และเป็นแบรนด์ Timeless ใส่ได้เรื่อยๆ
ก่อนถึงวันเปิดตัวสโตร์อย่างเป็นทางการ สโตร์ที่สยามเซ็นเตอร์ได้เปิดบริการแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งไม่ทำให้คุณฉัตรและทีมงานผิดหวัง ลูกค้าที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้วให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และที่เหนือความคาดหมายแม้จะตั้งเป้าหมายไว้ก็ตาม คือลูกค้าวัยผู้ใหญ่ ไม่เขินอายที่จะเดินเข้าสโตร์เลือกหาไอเท็มที่ถูกใจ ดังนั้นตำแหน่งของแบรนด์ที่วางไว้แต่แรกคือเป็นแบรนด์ Timeless ไร้กาลเวลา และใส่ได้ทุกวัย ถือว่ามาถูกทาง
คุณฉัตรเพิ่งเริ่มกลับมาดูธุรกิจของพ่อเมื่อปีก่อน ช่วงเดือนสิงหาคม ช่วงเริ่มต้นยังเป็นคุณพ่อวิจักษ์ที่คอยไกด์ คอยอยู่เบื้องหลัง แนะนำสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา แต่พร้อมเปิดรับไอเดียใหม่ๆ จากลูก เนื่องจากรูปแบบทำธุรกิจเปลี่ยนไปจากเริ่มต้นทำธุรกิจเสื้อผ้าแนวสปอร์ต 100% แต่ปัจจุบันขยับมาทำเสื้อผ้าแนวแฟชั่น ปรับวิธีทำงานจากสมัยก่อนสินค้าสปอร์ตแวร์รุ่นไหนขายได้ก็จะสั่งสินค้ายกล็อตเลย ปัจจุบันคุณฉัตรปรับแนวสินค้า โดยเลือกสินค้าที่ Diverse (หลากหลาย) ขึ้นอีกนิด เป็นสินค้าที่สามารถขายได้เรื่อยๆ ไม่ตามเทรนด์แต่ไม่ตกเทรนด์ แม้วันเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม
“คุณพ่อทำธุรกิจรีเทลมา 30 ปี สมัยก่อนทำแบรนด์กีฬา จะต่างกับแบรนด์ที่ทำตอนนี้สิ้นเชิง พ่อทำงานแบบมีความเก๋า Old Fashion นิดหนึ่ง แต่ผมจะให้คุณค่ากับบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมของที่ทำงาน เพราะเชื่อว่าถ้าบรรยากาศดี สิ่งแวดล้อมดีทั้งบริษัท จะทำให้พนักงานมีความสุข ไอเดียจะมีมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์เพราะเราไม่ได้ทำสายแบรนด์ที่เป็นกีฬา แต่เป็นแบรนด์แฟชั่นที่ต้องมีไอเดีย”
ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้ส่งผลจนเกิดปัญหาในช่วงรอยต่อของการทำงานระหว่างพ่อสู่ลูก เพราะทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของฉัตรมีความไว้ใจในตัวลูกคนนี้ หนึ่งคือผ่านการทำงานกับองค์กรยักษ์ใหญ่อเมริกามาแล้ว จะสามารถนำประสบการณ์มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจได้
อีกหนึ่งคือทั้งพ่อและแม่เปิดกว้าง เชื่อว่าโลกมันต้องหมุนไปข้างหน้าเสมอ หากยังเป็นรุ่นพ่อแม่บริหารธุรกิจก็จะยังเหมือนเดิม หากเป็นคนรุ่นใหม่มาบริหารก็จะทำอะไรใหม่ๆ
ซึ่งเป็นจริงตามนั้น คุณฉัตรได้นำความรู้จากองค์กรใหญ่ที่อเมริกามาปรับใช้กับธุรกิจของที่บ้าน จัดวางระบบใหม่ นำดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ นำมาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า ทั้งการวางกลยุทธ์ การกำหนดทิศทางของแบรนด์ รวมถึงการเลือกสินค้ามาจำหน่ายให้ตรงใจผู้บริโภค “ระบบที่พ่อวางไว้เริ่มไม่ทันกับปัจจุบัน จึงต้องพัฒนา วางระบบใหม่ รวมถึงพนักงานจะมีเจนใหม่ๆ เข้ามาเสริม ส่วนตัวผมจะให้คุณค่ากับไอเดียของพนักงานทุกระดับชั้น การวางกลยุทธ์ต่างๆ ได้เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดและไอเดียเสมอ ให้พวกเขา (พนักงาน) สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพราะเชื่อว่าหากเราไม่รับฟัง หรือไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้เติบโต เราอาจจะกลายเป็นผู้สูญเสียโอกาสนั้นเอง แต่การที่เราให้คุณค่าของพนักงานก็คือคุณค่าที่ส่งกลับมาให้บริษัท”
ถามถึงโลเกชั่น ทำไมต้องเป็นสยามเซ็นเตอร์ คุณฉัตรบอกว่า มี Bias (ลำเอียง) ส่วนตัว เป็นเด็กสยามมาก่อน เคยเรียนมัธยมที่สาธิตปทุมวัน (โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน) และอีกเหตุผลหลักคือจุดเด่นของแบรนด์ มีความเป็นสตรีทค่อนข้างสูง ส่วนห้างในเมืองไทยหลักๆ ไม่มีความดิบ จะมีความลักชัวรี่เหมือนๆ กันทุกห้าง แต่สยามเซ็นเตอร์มีคาแร็กเตอร์เด่นเป็นตัวเองค่อนข้างสูง ส่วนตัวมองสยามฯ คือฮาราจูกุ-ชินจูกุ เมืองไทย ขณะที่ XLARGE วางจำหน่ายที่ชินจูกุ จึงมองว่าเหมาะ ส่วนดีไซน์ภายในร้าน บริษัทหลักที่ญี่ปุ่นกำหนดแบบการตกแต่ง หากเดินสโตร์ XLARGE ที่สยามเซ็นเตอร์ก็จะให้ความรู้สึก กลิ่นอายเดียวกับ XLARGE ที่ชินจูกุ

แล้วสินค้าจะเหมือนกันทุกช็อปทั่วโลกหรือไม่ คุณฉัตรบอกว่า หลักๆ จะเหมือนกันคือ ออริจินัลคอลเล็กชั่น และการ Collaboration กับแบรนด์ดังอื่นๆ อย่างล่าสุดร่วมกับ Warner Bros. ในวาระครบรอบ 100 ปี จะมีสินค้าคอลเล็กชั่นเหล่าการ์ตูนจากแอนิเมชั่น LOONEY TUNES ทั้ง บักส์บันนี, แดฟฟี่ ดั๊ก, แทซมาเนียน เดวิล, ทวิตตี้, ซิลเวสเตอร์, ไวลี อี. ไคโยตี และโรดรันเนอร์ และยังมีแผนจะ Collaboration กับแบรนด์ดังของไทย แต่ต้องทำแผนส่งให้บริษัทหลักที่ญี่ปุ่นอนุมัติก่อน ไม่สามารถทำตลาดตามใจได้ คาดว่าในเร็วๆ นี้จะมีคอลเล็กชั่นลายไทยออกมา
วกกลับมาถามถึงการตัดสินใจกลับมาช่วยคุณพ่อทำธุรกิจ คุณฉัตรบอกว่า “คุณพ่ออยากรีไทร์ อยากพัก ผมเป็นลูกคนเดียวก็ห่วงพ่อและแม่ เพราะที่ผ่านมาท่านอยู่กันแค่ 2 คน คุณพ่อเหนื่อยมามากแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้ท่องโลกกว้าง ได้โอกาสเรียนรู้กับบริษัทระดับโลก ถึงเวลาที่ผมต้องเหนื่อยแทนคุณพ่อ”
ส่วนฝันที่อเมริกาที่วาดแผนไว้หลังเรียนจบ คุณฉัตรกล่าวยอมรับตรงๆ ว่า ช่วงแรกรู้สึกเสียดายกับโอกาสที่มาถึงแต่ต้องทิ้งไป แต่ไม่เป็นไร เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน
“การกลับมาเมืองไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันใหม่ มาต่อยอดสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สร้างไว้ให้ ทำให้มันไปได้ไกลกว่าเดิม ทำแบรนด์ที่ดูแลอยู่ให้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในประเทศไทย” คุณฉัตรทิ้งทายถึงฝันใหม่ที่กำลังปั้นให้เป็นจริง!
เกษมณี นันทรัตนพงศ์