‘ชาญ ศรีวิกรม์’ มองการเมืองวุ่นจบทันส.ค. ไม่มีใครกล้าขัดมติปชช. ห่วงขึ้นค่าแรงกระทบลงทุน

‘ชาญ ศรีวิกรม์’ มองการเมืองวุ่นจบทันส.ค. ไม่มีใครกล้าขัดมติปชช. ห่วงขึ้นค่าแรงกระทบลงทุน

วันที่ 29 มิถุนายน นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า แม้สถานการณ์การเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่นิ่ง แต่ยังมีความมั่นใจว่าการเมืองจะเดินหน้าตามขั้นตอน การมีเสียงค้านเป็นไปตามปกติวิสัยของการเมืองในการฟอร์มรัฐบาล จะหารือประเด็นต่างๆ โดยมองว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันเดือนสิงหาคมนี้ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นมติจากเสียงของประชาชนอยู่แล้ว ฉะนั้นในจุดนี้ ใครก็แล้วแต่คงจะขัดไม่ได้ ตอนนี้รอแค่การดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ไม่ว่าการเลือกประธานสภา โหวตนายกรัฐมนตรี ทุกคนต้องว่ากันไปตามขั้นตอน

“เราเจอการเมืองมาเยอะแล้ว ไม่เป็นเรื่องใหม่ ที่จะมีการเจรจา ออกเสียงอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย ไม่ว่ายังไงพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยก็จะตกลงกันได้” นายชาญกล่าวว่า

นายชาญกล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ คือ เรื่องความสามัคคีและสร้างความแกร่งของประเทศ เพราะว่าปัจจัยภายนอกน่าเป็นห่วง มีความไม่แน่นอนสูง เราควรต้องเร่งสร้างความแกร่ง ซึ่งทุกฝ่ายต้องมีความร่วมมือ ความสามัคคี เพราะตอนนี้ข้างนอกไม่มีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซียกับยูเครน หรือสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา เราต้องให้ความสำคัญ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ประเทศใหญ่ ต้องสร้างความแกร่งให้สูง เพื่อประโยชน์และอนาคตของคนไทย ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนกลุ่ม สิ่งสำคัญคือต้องจัดตั้งรัฐบาลมีเสถียรภาพเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยและต่างชาติ

Advertisement

“ไทยเราได้เปรียบความเป็นศูนย์กลาง เท่าที่เช็กกับต่างชาติ ทุกคนให้ความสำคัญการลงทุนด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ซึ่งไทยมีการเติบโตสูง เพราะเราไม่เกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ ฉะนั้นจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลมาแน่ จะเป็นเมืองไทยหรือเวียดนาม หากเรามีการสร้างความเชื่อมั่น จะทำให้การลงทุนเติบโตได้ดี” นายชาญกล่าว

นายชาญกล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีแรก 2566 ผ่านไปได้ดี ในภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี และมีการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ด้านกำลังซื้อในประเทศระดับกลาง-บนไปได้ดี แต่ระดับกลาง-ล่างไม่ค่อยดี เพราะว่าภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อค่าครองชีพคนสูงขึ้น ทั้งนี้หากมีการผลักดันให้นักท่องเที่ยวมีศักยภาพเข้ามามากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องอีอีซีต่อนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี จะเกิดการสร้างงานและเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น

Advertisement

“มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังหรืออีก 6 เดือนที่เหลือนี้ น่าจะเป็นการประคับประคองตัว เพราะตอนนี้มีปัจจัยที่ต้องดูเรื่องต้นทุนสินค้าเกษตร เป็นผลกระทบจากสงครามยูเครน ภัยแล้งและราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันและค่าไฟ ด้านภาคการท่องเที่ยว ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะย่านราชประสงค์ ดูจากรายได้และยอดขายในพรีเมียมช็อปใกล้ก่อนปีมีโควิดแล้วทั้งจีน เอเชีย อาเซียน ยุโรป” นายชาญกล่าว

นายชาญกล่าวว่า สิ่งที่เอกชนอาจมีข้อกังวลและอยากฝากให้รัฐบาลพิจารณา คือ เรื่องการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท ต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ รวมถึงขีดความสามารถการแข่งขัน สมมุติเราผลิตสินค้าให้กับยุโรปหรือที่อื่น ถ้าค่าแรงสูงขึ้น ถ้ามันแข่งขันไม่ได้ เขาจะมูฟไปอยู่ประเทศอื่น ตรงนี้ต้องดูให้ดี ต้องมีการเปรียบเทียบกับประเทศข้างเคียงหรือคู่แข่งว่าอัตราที่จะแข่งขันได้อยู่ตรงไหน ไม่งั้นคนจะหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน และค่าแรงที่ปรับขึ้นคนได้ประโยชน์จะเป็นแรงงานต่างด้าว แทนที่จะเป็นคนไทยที่ได้ประโยชน์

“ส่วนผลกระทบจากค่าแรงต่อธุรกิจเรานั้นไม่มาก เพราะธุรกิจเราไม่ใหญ่มาก แต่เป็นห่วงอุตสาหกรรมภาคผลิตมากกว่า ภาคโรงแรมเราสามารถพลัสออนได้ เพราะเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งการที่เพิ่มค่าแรงทำให้รายได้คนไทยสูงขึ้นเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่ควรค่อยๆปรับและดูความสามารถในการแข่งขันด้วย” นายชาญกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image