จับตารายงานเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จีน วันนี้! คาดกดบาทอ่อนค่าแตะ 35.80 บาท/ดอลล์

จับตารายงานเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จีน วันนี้! คาดกดบาทอ่อนค่าแตะ 35.80 บาท/ดอลล์

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.65 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.61 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.75 บาทต่อดอลลาร์ (ในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ) และมองกรอบ 35.40-35.80 บาทต่อดอลลาร์ (ในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ)

ในช่วงคืนก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 35.57-35.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ทดสอบโซน 35.75 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ GDP ไตรมาส 1 และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ)

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนในกรอบกว้างขึ้น ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ จากทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเงินบาทในระยะสั้นได้ ทั้งนี้ โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ซึ่งปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนการอ่อนค่าของเงินบาทนั้น ยังคงเป็นปัจจัยเดิม ทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึงโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์/สกุลเงินต่างประเทศในช่วงปลายเดือนจากบรรดาผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติ (MNCs)

Advertisement

อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอได้ด้วยแรงซื้อสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้น แต่ต้องรอให้ความเสี่ยงการเมืองไทยคลี่คลายลงก่อน ถึงจะมั่นใจได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง (จับตาการประชุมระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยในช่วงวันหยุด)

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของตลาดค่าเงิน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ ซึ่งจะเริ่มต้นจากรายงานดัชนี PMI ฝั่งจีน (8.30 น.) ตามด้วยอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน (16.00 น.) และปิดท้ายด้วย อัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ (19.30 น.) โดยหากเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า มองว่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านแรกแถว 35.75 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวก็มีโอกาสอ่อนค่าต่อสู่ระดับ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ได้

ซึ่งมองว่าแนวต้านดังกล่าวอาจเป็นจุดกลับตัวของเงินบาทในช่วงนี้ได้ หากเงินบาทไม่ได้เผชิญปัจจัยกดดันอ่อนค่าเพิ่มเติม (เช่น สถานการณ์การเมืองไทยไม่ได้วุ่นวายมากขึ้นจากปัจจุบัน) และหากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจถูกจำกัดอยู่ในโซน 35.40-35.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งยังพอเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง แต่หากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าวก็มีโอกาสลงมาสู่แนวรับถัดไปแถว 35.20 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก

Advertisement

“ช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน”นายพูน กล่าว

นายพูน กล่าวว่า ทางด้านตลาดค่าเงิน มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มปรับเพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกรกฎาคมและการประชุมเดือนกันยายน ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.8-103.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า เศรษฐกิจจีนอาจยังคงฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก สะท้อนผ่านการขยายตัวในอัตราชะลอลงของภาคการบริการ โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) เดือนมิถุนายน อาจลดลงสู่ระดับ 53.3 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ขณะที่ภาคการผลิตอาจยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 49 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) อย่างไรก็ดี ภาพเศรษฐกิจจีนที่ดูไม่สดใส จะยิ่งหนุนโอกาสให้ทางการจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้ผ่านรายงานดัชนี

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนมิถุนายน อาจชะลอลงสู่ระดับ 5.6% จาก 6.1% ในเดือนก่อนหน้า ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาพลังงาน อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจเร่งขึ้นสู่ระดับ 5.6% จาก 5.3% ตามการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ซึ่งภาพอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องได้อีก 2 ครั้ง ในปีนี้

และในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนพฤษภาคม ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE อาจชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.8% จากระดับ 4.4% ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็อาจชะลอลงสู่ระดับ 4.6% และที่สำคัญอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานภาคบริการที่ไม่รวมค่าที่พักอาศัย (Core Services ex. Housing) ก็มีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ซึ่งหากสิ่งที่นักวิเคราะห์ประเมินนั้นถูกต้อง เรามองว่า โอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อตาม Dot Plot ก็อาจลดลง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image