Thailand : Take off ตามแบบฉบับ 5 กูรู ‘รัฐ-เอกชน’

Thailand : Take off ตามแบบฉบับ 5 กูรู ‘รัฐ-เอกชน’

Thailand : Take off
ตามแบบฉบับ 5 กูรู ‘รัฐ-เอกชน’

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าโหมดการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งครั้งใหญ่ผ่านไปเมื่อ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มาพร้อมกับความคาดหวังต่อนโยบายการบริหารประเทศ และแนวทางขจัดปัญหาอุปสรรคที่กำลังเผชิญในเวลานี้หลังจัดรัฐบาลผ่านพ้นไปด้วยดี

เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น หนังสือพิมพ์มติชน จึงจัดสัมมนา “Thailand : Take off” เมื่อวันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โดยผู้เข้าฟังสัมมนาครั้งนี้ จะได้เห็นมุมมองจากผู้รู้ในองค์กรรัฐและเอกชน สะท้อนถึงสถานการณ์ ปัญหา ทางออก รวมทั้งเปิดให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสาร เพิ่มมุมมองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาล ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มองเห็นเป้าหมาย วิธีการ และโอกาสในการร่วมมือกันผลักดันเศรษฐกิจของชาติให้เติบโต ในครึ่งหลังปี 2566 และปีถัดๆ ไป

ผู้บริหารบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ต้อนรับ 5 วิทยากรพิเศษ ในโอกาสที่หนังสือพิมพ์มติชน จัดสัมมนา “Thailand : Take off” ประกอบด้วย ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะประธานร่วมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.), พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย, ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด ในฐานะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) และสันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Sea Group ผู้เขียนหนังสือ Futuration และ The Great Remake เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566

 

ADVERTISMENT

สัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก 5 ผู้บริหารระดับสูงในวงการที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ ได้แก่ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะประธานร่วมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด ในฐานะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) และ สันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Sea Group ผู้เขียนหนังสือ Futuration และ The Great Remake

ซึ่งเป็นอีกครั้งที่มีแขกเหรื่อ นักธุรกิจ ผู้บริหารทุกภาคส่วน เข้าร่วมรับฟังอย่างคับคั่ง ทั้งเดินทางมาฟังที่งานสัมมนา และชมผ่านการถ่ายทอดสด ทาง Facebook ประกอบด้วย Matichon Online / Khaosod / Khaosod English / Prachachot / Matichon Event และทาง Youtube ประกอบด้วย matichon tv / Matichon Online / Khaosod Tv/Prachachot

ADVERTISMENT

ประเทศเทกออฟ ต้องช่วยกัน

เริ่มด้วยปาฐกถาพิเศษ “อนาคตเศรษฐกิจไทย” โดย ดนุชา พิชยนันท์ ที่แค่เปิดหัวข้อก็ย้ำเลยว่า “Thailand : Take off จะเทกออฟกันไปคงต้องช่วยกันเทกออฟ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยจะเดินหน้าเทกออฟลำบาก ถ้าไม่ช่วยกัน เพราะมีปัญหาหลายเรื่อง”

จากนั้น เลขาฯสภาพัฒน์ ได้รีแคปถึงสถานการณ์และปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ที่จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ บนความคาดหวังเศรษฐกิจปี 2566 โต 2.7% โดยไล่เรียงในแต่ละเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ที่มองว่ายังดีและเริ่มฟื้นแล้ว คือ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนในประเทศ การท่องเที่ยว หรืออสังหาริมทรัพย์ สลับกับคำแนะนำ เช่น แนะให้เร่งแก้เรื่องติดขัดการออกวีซ่าให้ชาวจีน แนะเพิ่มขยายตลาดในจีน เตรียมความพร้อมก่อนคนยุโรปมาเที่ยวไทยปลายปี เห็นด้วยใช้ประโยชน์วีซ่าพำนักระยะยาว (LTR) เพื่อจูงใจนักธุรกิจ หรือนักท่องเที่ยวพำนักระยะยาวในไทย ที่จะส่งผลดีต่อการขายหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

ส่วนเครื่องยนต์มองว่าน่าเป็นห่วง คือการส่งออกหดตัว ที่ 4 เดือนแรก 2566 ติดลบ 4.6% แนะนำว่า ถึงเวลาต้องเร่งปรับโครงสร้างในภาคอุตสาหกรรม มุ่งผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง อย่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ อีกเรื่องที่กังวล คือ หนี้ครัวเรือน เป็นตัวฉุดรั้งความสามารถใช้จ่าย ที่ต้องเฝ้าระวังตอนนี้คือ หนี้จากผ่อนรถยนต์และใช้บัตรเครดิต

“เรื่องงบประมาณปี 2567 ช่วงไตรมาส 4/2566 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/2567 ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ยังสามารถใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจากรายได้นำส่งจากหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจต่างๆ รวมกัน 2 ไตรมาส ยังมีเงินรัฐอัดเข้าระบบเศรษฐกิจประมาณ 1.8-1.9 ล้านล้านบาท น่าจะเพียงพอการพยุงเศรษฐกิจได้” เลขาฯสภาพัฒน์กล่าวให้มั่นใจ พร้อมทิ้งไว้ให้คิดว่า อีก 3-4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไร ที่จะตามทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก

โลกเปลี่ยนไว ไทยต้องติดจรวด

จากนั้น เกรียงไกร เธียรนุกุล ขึ้นนั่งตอบข้อซักถาม หัวข้อ “อุตสาหกรรมไทย ติดปีก โกอินเตอร์” โดยยอมรับว่า กำลังซื้อทั่วโลกหดตัว ส่งผลต่อภาคส่งออกไทย มองดีสุดคือเสมอตัว ตัวเลข 0% ถ้าแย่ก็ติดลบ 1% โดยหวังครึ่งปีหลังทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งลุ้นไปพร้อมกับการฟอร์มรัฐบาลใหม่

พร้อมกันนี้ ได้หยิบยก 5 เรื่องที่ภาคเอกชนกังวลและฝากการบ้านถึงรัฐบาลใหม่ ได้แก่ 1.ราคาพลังงานที่ยังสูง เป็นตัวฉุดรั้งความสามารถทางการแข่งขัน 2.ปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ขึ้นพรวด 35% เป็น 450 บาท/วัน เป็นยาแรง กระทบอุตสาหกรรมและเอสเอ็มอี อาจช็อกถึงกิจการพังได้ โดยทำควบกับสร้างแรงงานทักษะตรงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 3.เอสเอ็มอียังเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่รัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยลดต้นทุนจากค่าไฟ ค่าแรง และดอกเบี้ยแพง 4.เร่งปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ หรือการกิโยตินกฎหมายล้าสมัย ปลดพันธนาการธุรกิจ ทำได้เพิ่มเงินแสนล้านเข้าระบบเศรษฐกิจไทย 5.อยากให้รัฐบาลใหม่ต่อนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว

“กฎเกณฑ์มากเกินไป จะทำให้ธุรกิจมีปัญหา เมื่อไม่ไหวจะเกิดการจ่ายใต้โต๊ะ สร้างนิสัยคอร์รัปชั่นไปตลอด อาทิ เกาหลีใต้ เคยมีปัญหาเหมือนกับเรา เมื่อเขาแก้สู่กฎหมายใหม่ๆ ไม่กี่ปี จีดีพีเกาหลีใต้แซงหน้าญี่ปุ่น ผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบนั้น เพื่อติดปีกอุตสาหกรรม ที่ไม่ใช่แค่เทกออฟ แต่เป็นการพุ่งขึ้นแบบจรวด ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ควรเริ่มทำเรื่องนี้ก่อน …โลกเปลี่ยนไว ไทยต้องปรับเร็ว เราต้องรวมพลังเป็นไทยแลนด์เทกออฟ ขอให้เดินหน้าพุ่งแรงแบบจรวด ไม่เอาแบบค่อยๆ บินแล้ว” ย้ำไว้ก่อนลงจากเวที

อยู่แล้วสุขภาพดี แต้มต่ออสังหาฯ

พีระพงศ์ จรูญเอก พูดถึง “อสังหาฯทะลุมิติไวร์สกอร์” เปิดฟอร์ม ก็แสดงความเชื่อมั่นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นตัวช่วย ทดแทนภาคส่งออกที่ยังติดลบ บวกกับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดี จะเป็น 2 ภาคหลักช่วยให้จีดีพีเป็นบวก ลงลึกถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 1/2566 เผยว่า ไม่ค่อยดี เหตุจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกการผ่อนผันสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เคยกู้ซื้อบ้านหลังสองและหลังสามได้ 80-90% เหลือ 70-80% จึงฝากให้ ธปท.และรัฐบาลใหม่ พิจารณาต่อมาตรการ LTV เพราะวันนี้มีดีมานด์จริงและช่วยเศรษฐกิจได้ ยังช่วยดึงธุรกิจห่วงโซ่ เช่น วัสดุก่อสร้าง รับเหมา ให้ดีตาม สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนอีก 4-5 เท่า

“ปี 2566 เศรษฐกิจโลกค่อยๆ ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตัวเลขคงไม่ได้ดี ก่อนนี้เราคาดหวังการเลือกใช้สิทธิใช้เสียงเต็มที่ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จากนี้รอจัดตั้งรัฐบาลได้รวดเร็ว ภายในสิงหาคมนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และดีต่อการแก้ปัญหาหลายๆ เรื่อง ที่วันนี้เมื่ออยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการ อาจจะไม่สามารถตัดสินใจได้”

นายกฯอาคารชุด ยังระบุเรื่องที่ควรทำหลังได้รัฐบาลใหม่ เช่น ปรับ LTR Visa เคยให้ยาว 10 ปี อาจเหลือ 3 ปี 5 ปี เพิ่มวีซ่าพิเศษเให้แรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ซอฟต์พาวเวอร์เป็นจุดขายประเทศ วางแผนดูแลสังคมสูงวัย ดันไทยศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทบทวนอัตราดอกเบี้ยที่ยังสูง มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และกดดันหนี้ครัวเรือนเข้าถึงอสังหาฯ

“อสังหาริมทรัพย์ ต้องพัฒนาไปตามทิศทางของโลก ไม่ว่าจะโกกรีน อยู่กับชุมชน เน้นสิ่งแวดล้อมและก่อสร้างที่ดี เรื่อง LEED หรืออาคารประหยัดพลังงาน เรื่อง well อาคารที่อยู่แล้วสุขภาพดี และมีเรื่องไวร์สกอร์ ที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อด้วยความรวดเร็ว รวมถึงอินโนเวชั่น เป็นเทรนด์ใหม่การสร้างพร็อพเพอร์ตี้ใหม่ๆ” นี่คือ อนาคตอสังหาริมทรัพย์

บูสต์เศรษฐกิจไทย ผ่านตลาดทุน

อีกหัวข้อฮอตสุดๆ ในเวลานี้ ไพบูลย์ นลินทรางกูร พูดถึง “ตลาดทุนไทยปรับโหมด หุ้นกระทิง” ว่า ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิงได้ไม่นั้น ถือว่าเป็นความท้าทายของรัฐบาลใหม่ เพราะตลาดทุนขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจ บวกกับสภาพเศรษฐกิจ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับเข้าสู่ภาวะกระทิงอีกรอบแล้ว แต่ไทยเหมือนไกลตัวอยู่มาก

“คำถามตลาดทุนไทยแข่งกับใคร คงต้องแข่งกับอินโดนีเซียและเพื่อนในอาเซียน คงไม่สามารถแข่งขันสหรัฐหรือตลาดอื่นได้ หากเทียบอินโดนีเซียที่เศรษฐกิจโต 5-6% ต่อปี ตอนเจอโควิดเหลือ 2% หลังโควิดฟื้นบวก 3.7% หรือเทียบกับเวียดนามเจอโควิดเศรษฐกิจยังโต 7-8% ต่อปี ปัจจุบันต่างชาติซื้อขายในตลาดทุนอยู่ 50% เขามองสภาพคล่องคือหัวใจของตลาดทุน ประเทศใดเศรษฐกิจขยายตัวดีก็จะไปประเทศนั้น ขณะที่ตลาดทุนไทยไม่มีจุดขายเป็นของตัวเอง การรีบาวด์เป็นระยะสั้น วันก่อนและวันนี้ก็ยังคงมีนักลงทุน 3 ล้านคน เป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก อีกเรื่องอยากให้รัฐบาลใช้ตลาดทุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่ามองตลาดทุนเป็นศัตรู เพราะตลาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเงิน ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับไปสู่ภาวะกระทิง แต่อาจไม่ง่ายนัก”

ฝากโค้ชใหม่ ฟิตเศรษฐกิจสูงวัย

สันติธาร เสถียรไทย พูดหัวข้อ “Turn around เศรษฐกิจไทย” นำเสนอรูปแบบเปรียบการจิตนาการของเศรษฐกิจไทย เสมือนเป็นนักกีฬาคนหนึ่ง ไว้ว่านักกีฬาคนนี้ อดีตเคยเป็นดาวรุ่ง โดดเด่นในเวทีโลก เปรียบในเชิงเศรษฐกิจ ย้อนไปปี 1976-1996 ก่อนวิกฤต เศรษฐกิจโต 7-8% แต่โชคร้ายนักกีฬาคนนี้เจออุบัติเหตุ เรียกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้นักกีฬาคนนี้บาดเจ็บแต่ยังอึดจึงกลับมาได้ แต่วิ่งไม่เร็วเท่าเดิมแต่ยังโดดเด่นและคงเป็นที่สนใจจากแมวมองทั่วโลก จากนั้นเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ครั้งแล้วครั้งเล่า นักกีฬาคนนี้ยังรอด เหมือนเศรษฐกิจเคยโต 7% เหลือ 3% และรู้ตัวอีกทีกลายเป็นนักกีฬาสูงวัย เสมือนเศรษฐกิจไทยวันนี้ เมื่อเป็นนักกีฬาสูงวัย จะออกอาการ แรงน้อยลง ความสามารถในการแข่งขันลด และเหนื่อยง่ายขึ้น กลายเป็นนักกีฬา ตัวสำรอง

ฉะนั้น “ถ้าทำได้จะกลับมาเป็นนักกีฬาที่เก่ง เป็นผู้ชนะได้อีกครั้งหนึ่ง ฝากโค้ชคนใหม่” ต้องทำ 5 สิ่ง ดังนี้ 1.หยุดการใช้ยากระตุ้น คือ เศรษฐกิจเหมือนร่างคนเรา ใช้ยากระตุ้นอาจรู้สึกดีแต่ได้แค่ชั่วคราว และให้ผลร้ายระยะยาวคือกระดูกร้าว เช่นเดียวกับอัดมาตรการการคลังพอได้ 5% แต่มีปัญหาตามมาอีกมาก อย่างหนี้สาธารณะปัจจุบัน 61% ต่อจีดีพี ภาระชำระหนี้รัฐบาล 10% ของจีดีพี จะสูงขึ้นไม่ใช่แค่เพราะหนี้สูง แต่ภาระดอกเบี้ย พันธบัตรเงินกู้ที่แพงขึ้นด้วย ดังนั้น หากต้องใช้ยากระตุ้น ควรกำหนดเป้าหมายมุ่งกลุ่มเปราะบาง เวลากระตุ้นต้องวางเป้าหมายระยะยาวไม่ใช่แค่ 3-6 เดือน และต้องโปร่งใสพร้อมปรับปรุงให้เข้าโลกที่เปลี่ยนแปลง 2.ผ่าตัด เอากติกาที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นออกไป ส่วนนี้ประหยัดได้กว่า 1.3 แสนล้านบาทหรือ 0.8% ของจีดีพี โดยเปลี่ยนจากขออนุญาตเป็นการแจ้งอย่างเดียว เปลี่ยนจากผู้กำกับมาเป็นผู้พัฒนา และเปลี่ยนจากการผลักเป็นการดึงกลับเข้ามา 3.ผู้นำต้องออกไปหาแมวมอง เสมือนออกไปดึงนักลงทุนมาช่วยเสริม 4.ต้องเล่นแบบฉลาด ลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น นั่นคือการเพิ่มผลิตภาพ โดยเร่งเพิ่มแรงงานด้านดิจิทัล เสริมแรงงานการเกษตร และการดึงหัวกะทิจากทั่วโลก และ 5.สร้างภูมิคุ้มกัน ที่จะรับแรงกระแทกได้มากขึ้นทั้งเรื่องการเงิน ภูมิรัฐศาสตร์ ภัยด้านสิ่งแวดล้อม

เชื่อว่าอีกไม่นานจะได้เห็นว่า “การบ้านถึงรัฐบาลใหม่” ที่ผ่านสัมมนาครั้งนี้ เรื่องใดคืบหน้าและเรื่องใดต้องกระทุ้งต่อ

นวลนิตย์ บัวด้วง

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image