กกร.คงกรอบ จีดีพี ปี’66 ที่ 3-3.5% แม้ปัจจัยลบรุมเร้า แต่ท่องเที่ยวยังดี โดยเฉพาะจีนใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงเติบโตประมาณ 3.0-3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมิถุนายน แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนถูกกดดันจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 90.6% ต่อจีดีพี ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีข้อจำกัดและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตมีแนวโน้มชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ส่วนมูลค่าการส่งออกประเมินว่าหดตัวมากขึ้นในกรอบติดลบ 2.0% ถึงคงที่ (0.0%) จากเมื่อเดือนมิถุนยาน กกร.ประเมินไว้ที่ -1.0 ถึง 0.0%
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะไปถึง 29-30 ล้านคน และโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนศักยภาพสูงที่มีการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อ แม้ยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง (เอลนิโญ) และหากมีการปรับค่าแรง แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำลงจากที่ประเมินไว้เดิมตามทิศทางราคาพลังงาน โดยจะอยู่ในกรอบ 2.2 ถึง 2.7% ซึ่งลดลงจากที่ประเมินไว้เมื่อเดือนมิถุนายนที่กรอบ 2.7 ถึง 3.2%
นายผยงกล่าวว่า ส่วนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ภาคการผลิตยังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคบริการเริ่มเห็นสัญญาณชะลอลงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ธนาคารกลางของประเทศหลักฝั่งตะวันตกมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะการเงินตึงตัวจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่จะยิ่งกดดันภาคธุรกิจและจำกัดการใช้จ่าย นำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จีนมีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน มีการปรับลดประมาณการณ์ตัวเลขการเติบโตของจีดีพี จีนปี 2566 ลงสู่ระดับ 5.4-5.5% จากเดิม 6% ปัจจัยเหล่านี้อาจฉุดการเติบโตของภาคการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า
ค่าเงินบาทอ่อนค่าสอดคล้องกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทอ่อนค่าค่อนข้างเร็ว สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าหลังจากธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มกลับมาเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียที่นำโดยเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาด ส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคอยู่ในทิศทางอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าชั่วคราวและจะกลับมาทยอยแข็งค่าได้ในช่วงที่เหลือของปี ด้วยทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่เป็นขาขึ้นและปัจจัยความไม่แน่นอนในประเทศที่คลี่คลายลง