‘SCB FM’ ชี้ปมหุ้นสื่อ ‘พิธา’ ส่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หวั่นทำตลาดเงินปั่นป่วน

“SCB FM” ชี้ปมหุ้นสื่อ “พิธา” ส่อเกิดเปลี่ยนขั้วรัฐบาล หวั่นทำตลาดเงินปั่นป่วน

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส กลุ่มงานตลาดการเงิน (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในระยะสั้น ความผันผวนในตลาดการเงินไทยจะยังสูง ซึ่งปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ระยะเวลาในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และการจับขั้วตั้งรัฐบาล โดยหากสามารถแต่งตั้งนายกฯได้เร็ว ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นปรับดีขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทย และทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ในระยะสั้น (Relief rally) ส่วนแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินในระยะกลางถึงยาวจะขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล และใช้นโยบายที่ Pro-market ก็จะทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดทุนไทยได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าต่อได้ ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้การโหวตนายกฯ มีความไม่แน่นอนมากขึ้น คือ การส่งฟ้องคดีถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล และเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินไทยมากขึ้น

เผย 3 กรณี “เลือกนายกฯ” กระทบตลาดการเงิน

นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง และถึงแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังมีอยู่มาก ทั้งในเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงระยะเวลาที่จะจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลต่อความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายภาครัฐและนัยต่อเศรษฐกิจไทย ด้วยเหตุนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจึงยังไม่ปรับดีขึ้นมากนัก เงินทุนเคลื่อนย้ายจึงยังไม่ไหลกลับเข้ามาอย่างชัดเจน

Advertisement

ในช่วงที่มีการเลือกตั้งในอดีต เงินทุนเคลื่อนย้ายก็ไหลออกจากตลาดการเงินไทยแต่ในอัตราที่แตกต่างกัน โดยหากสถานการณ์ความไม่แน่นอนยาวนานกว่า จะทำให้เงินทุนไหลออกมากกว่า ในปี 2557 ที่ความไม่แน่นอนสูงกว่า เนื่องจากการแต่งตั้งนายกฯ ใช้เวลานานกว่า และมีการประท้วงการเลือกตั้ง จึงทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดการเงินไทยในปริมาณที่มากกว่า และใช้เวลานานกว่าที่เงินทุนจะไหลกลับมา อีกทั้งปริมาณเงินทุนที่ไหลกลับเข้ามาก็มีน้อยกว่า อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งในปี 2562 มีความไม่แน่นอนน้อยกว่า ทำให้เงินทุนไหลออกจากไทยในอัตราที่น้อยกว่า และไหลกลับเข้ามามากกว่าหลังมีการแต่งตั้งนายกฯ

นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า กรณี (Scenario) ของสถานการณ์การแต่งตั้งนายกฯ ในสัปดาห์นี้จะส่งผลต่อแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้าย และค่าเงินบาท รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างมาก โดยแบ่งเป็น 1.จัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตพรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงจากทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ได้เกินกว่า 376 เสียง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลน่าจะใช้เวลาไม่นานนัก การดำเนินนโยบายภาครัฐน่าจะไม่ขาดตอน เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทยในระยะสั้น ทำให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นจาก Sentiment ที่ปรับดีขึ้น (Relief rally)

อย่างไรก็ดี ในระยะกลางถึงยาว เงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ โดยขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคก้าวไกล ที่อาจมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและแนวทางการดำเนินนโยบายภาครัฐ จึงแนะให้ผู้นำเข้าอาจทยอยซื้อ USDTHB ในระยะสั้นที่มี Relief rally โดยมองกรอบที่ราว 34.40-34.85 ขณะที่ผู้ส่งออกอาจรอจังหวะขายหลังผ่านช่วง Rally มองกรอบที่ราว 35.40-35.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

Advertisement

2.จัดตั้งรัฐบาลได้ช้ากว่า แต่ไม่เกิดการประท้วง: นายพิธาไม่สามารถรวมเสียงครบ 376 เสียง ทำให้ต้องเสนอชื่อนายกฯ จากพรรคอื่น โดยมีโอกาสสูงที่จะมาจากพรรคเพื่อไทย เงินทุนจะไหลออกจากตลาดการเงินไทยในช่วงแรกที่การโหวตยังไม่ผ่าน ทำให้เงินบาทอาจอ่อนค่าในระยะสั้น แต่หลังจากได้นายกฯ จากพรรคเพื่อไทยแล้ว เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจทยอยไหลกลับมา เนื่องจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้ม Pro-market มากกว่า เงินบาทจึงมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าได้ในระยะกลาง
จึงแนะให้ลูกค้าส่งออกอาจทยอยขาย USDTHB ช่วงที่อ่อนค่าในระยะแรก โดยมองกรอบที่ 35.40-35.75 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ผู้นำเข้าอาจรอจังหวะซื้อหลังจากที่ได้นายกฯ ซึ่งบาทน่าจะกลับมาที่กรอบ 34.85-35.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

3.จัดตั้งรัฐบาลได้ช้ากว่า และเกิดการประท้วงวงกว้าง พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายเสนอชื่อนายกฯ พร้อมมีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลจะนานกว่ากรณีที่ 2 เงินทุนไหลออกจากตลาดการเงินไทยต่อเนื่องและมากกว่ากรณีที่ 2 ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่า อีกทั้ง ในช่วงที่เงินทุนไหลกลับเข้ามา อาจเข้ามาน้อยกว่าสองกรณีแรก การแข็งค่าในช่วงไตรมาส 4 จึงอาจน้อยกว่ากรณีอื่น
จึงแนะให้ลูกค้าส่งออกอาจตั้ง Target ขาย USDTHB ในระยะข้างหน้าที่ราว 35.75-36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อ Call option ที่ราคาใช้สิทธิราว 35.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อปิดความเสี่ยงเงินบาทอ่อนค่าเร็ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image