‘อีคอนไทย’ ขอเลือกนายกฯ จบใน ส.ค. วอนหยุดเล่นการเมือง อย่ามัวแต่แบ่งเค้กกัน
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภาประกาศเลื่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี รอบที่ 3 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมออกไป เพื่อรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่าการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนุญหรือไม่ ว่า สถานการณ์ออกมาเช่นนี้ ภาคเอกชนหรือแม้แต่ประชาชนแทบไม่ทางเลือก เพราะต้องยอมรับกลไกลของรัฐธรรมนูญที่กำหนดแนวทางไว้แบบนี้ ภาครัฐจะแก้ไขกันอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่ภาคเอกชนต้องการมากที่สุดในตอนนี้ คือ ต้องการให้ได้ตัวนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อเร่งจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศภายในเดือนสิงหาคมนี้
“ต้องจับตาในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าสามารถโหวตนายกฯได้ในเดือนสิงหาคมนี้ ก็น่ามีความชัดเจนในการตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากเกินเดือนสิงหาคมไปแล้วจะทำให้จัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ยาวนานเกิน 4 เดือน ภาคเอกชนจึงไม่อยากเลื่อนการโหวตอีกแล้ว ต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว เพราะเศรษฐกิจตอนนี้แย่อย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกที่หดตัวมากกว่าที่คิด ส่วนที่คาดกันว่าการส่งออกจากที่ติดลบจะกลับมาเป็นศูนย์น่าจะยาก” นายธนิตกล่าว
นายธนิตกล่าวว่า ทั้งนี้ค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่ตอนนี้เป็นอยู่ในช่วงการต่อรองตำแหน่ง การเสนอนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมาเป็นนายกฯ ถือว่ามีความโดดเด่น เพราะเป็นนักธุรกิจ จะรู้เรื่องเศรษฐกิจดี เป็นคุณสมบัติที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) น่าจะโหวตให้ พรรคก้าวไกลซึ่งเคยเป็นเงื่อนไขก็ถูกตัดออกไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่โหวตให้ ดังนั้นการโหวตนายกฯ ควรชัดเจนได้แล้ว จึงอยากให้พรรคการเมืองต่างๆ อย่าเล่นการเมือง อย่ามัวแต่แย่งเค้กกัน ขอให้เห็นแก่ประชาชน เศรษฐกิจประเทศรอไม่ได้ ยิ่งช้า ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจ
นายธนิตกล่าวอีกว่า สำหรับภาคเอกชนมีข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่อยากให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เป็นภารกิจเร่งด่วนแรก โดยเฉพาะเร่งกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน แก้ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 91% ต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 16 ล้านล้านบาท
นายธนิตกล่าวว่า ส่วนกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลื่อนกลับประเทศไทยออกไปก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะกลับวันที่ 10 สิงหาคมนั้น ในมุมมองของเอกชน ไม่ได้ให้น้ำหนักในเรื่องนี้ว่าจะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล หรือคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่แต่อย่างใด เพราะตอนนี้ประเด็นอยู่ที่การรวมพรรคใหม่หลังพรรคเพื่อไทยประกาศชัดเจนว่าไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ก็ต้องไปจับกับอีกขั้วหนึ่ง แต่มองว่า นายทักษิณ อาจไม่ได้มีนัยที่ทำให้อีกขั้วหนึ่งมีผลเสียต่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่การเลื่อนวันกลับอาจมีผลต่อพรรคเพื่อไทย
“เรื่องนี้ผมไม่ได้ยอมน้ำหนักให้ขนาดนั้น อย่าลืมว่าพรรคที่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ได้มีแค่พรรคภูมิใจไทย ยังมีพรรคขั้วตรงข้ามอีกหลายพรรค อาทิ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เรื่องนี้จะทำให้ประชาชนและภาคเอกชนรู้สึกว่าการเมืองไทยมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้นเอง” นายธนิตกล่าว