‘พฤกษา’ เปิดยอดขายครึ่งปี’66 ยังไม่ถึงครึ่งทาง เขย่าพอร์ตใหม่ลุยบ้านพรีเมียม 15-30 ล้าน
วันที่ 15 สิงหาคม นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีการเติบโตสูงโดยเฉพาะแนวราบที่มีความต้องการสูงรวมถึงรถไฟฟ้ามีการขยายโครงข่ายไปยังชานเมือง ทำให้การเดินทางสะดวก ด้านกำลังซื้อกลุ่มระดับบนยังแข็งแรง แต่กลุ่มระดับกลาง-ล่างยังเปราะบาง เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้และดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น
ในส่วนของพฤกษายังมียอดขายและรายได้เติบโต โดยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ 13,665 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการสวอปหุ้นบริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัดราว 700 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท โดยไตรมาส 2 มีรายได้รวม 7,107 ล้านบาท เติบโต 32% และกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท เติบโต 141% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
นายอุเทนกล่าว่า สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีที่่ผ่านมามียอดขายแล้ว 9,116 ล้านบาทหรือ 38%
ยอดโอน 11,680 ล้านบาทหรือ 42% ยังต่ำกว่าเป้าที่ประกาศไวัเมื่อต้นปี 2566 จะมียอดขาย 24,000 ล้านบาท และยอดโอน 28,000 ล้านบาท คาดว่าถึงสิ้นปีจะได้ตามเป้าจากยอดรอโอนมูลค่า 4,975 ล้านบาท บ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่มูลค่า 10,593 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 1,264 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 1,331 ล้านบาทและคอนโดมิเนียม 2,380 ล้านบาท และครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่อีก 17 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท แนวสูง 2 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท เช่น แชปเตอร์วัน จรัญ มูลค่า 3,700 ล้านบาท อีกทั้งยังมีโครงการในมืออยู่ระหว่างเปิดขายทั่วประเทศกว่า 150 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 64,186 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้อีก 2-3 ปี
“ปัจจุบันพฤกษาได้ปรับพอร์ตฟาลิโอเพิ่มสัดส่วนบ้านและทาวเฮ้าส์ระดับพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 33% ให้สอดคล้องความต้องการของตลาดจากเดิมมีพอร์ตต่ำกว่า 3 ล้านบาทค่อนข้างมากและมีปัญหากู้ไม่ผ่านสูง โดยครึ่งปีหลังจะเปิดตัวโครงการเดอะปาล์ม บางนา-วงแหวน 2 บ้านเดี่ยวราคา 15-30 ล้านบาท แต่คงไม่ทำบ้าน 100 ล้านขาย เพราะไม่ใช่ดีเอ็นเอของพฤกษาและเรายังไม่ทิ้งบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท พยายามทำโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกระดับชั้น”นายอุเทน
กล่าว
นายอุเทนกล่าวว่า โดยทุกปียังคงซื้อที่ดินเพิ่มรองรับการพัฒนาโครงการใหม่อีก 3-4 ปี ขณะเดียวกันมีขายแลนด์แบงก์บางทำเลที่ยังไม่พัฒนา เพราะต้องการหมุนทุนและพัฒนาโปรดักต์ให้ตรงกับตลาด โดยปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดิน 7,000 ล้านบาท จำนวน 15-16 แปลง ขึ้นโครงการใหม่ ซื้อไปแล้ว 9 แปลงสำหรับพัฒนาแนวราบและแนวสูง เน้นทำเลในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดจะเป็นการขายโครงการเก่า เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต อีอีซี ขณะที่ต่างประเทศยังไม่มีแผนลงทุนเพิ่มจากเดิมเข้าไปลงทุนที่เวียดนามและอินเดีย
