สะเทือน! ‘เอเวอร์แกรนด์’ ยักษ์อสังหาฯจีนยื่นล้มละลายในสหรัฐ
เอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่เคยรั้งอันดับ 2 ของจีนแต่ประสบปัญหาในการประกอบธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2564 ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในสหรัฐ หลังจากวิกฤตของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
การยื่นล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์มีขึ้นหลังจากที่ปัญหาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนได้สร้างความวิตกกังวลในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว การส่งออกลดลง และการว่างงานของคนรุ่นหนุ่มสาวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการดำเนินนโยบายปิดล้อมจีนอย่างหนักของชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐ
ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายกับศาลนิวยอร์กในวันที่ 17 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ภายใต้หมวดที่ 15 ที่เป็นการปกป้องทรัพย์สินในสหรัฐของบริษัทต่างชาติขณะกำลังทำการปรับโครงสร้างหนี้
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์ที่ผิดนัดชำระหนี้ในปี 2564 กำลังทำการเจรจากับเจ้าหนี้อีกครั้ง และด้วยหนี้สินที่สูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เอเวอร์แกรนด์เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สินสูงที่สุดในโลก ความกังวลว่าบริษัทจะล่มสลายได้สร้างแรงกระเพื่อมไปยังตลาดการเงินทั่วโลก
หุ้นของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงถูกระงับการซื้อขายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ขณะที่เอเวอร์แกรนด์ระบุเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทสูญเสียเงินมากกว่า 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คันทรี การ์เดน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนอีกแห่งหนึ่งเตือนว่า บริษัทอาจขาดทุนสูงถึง 7,600 ล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ท่ามกลางสภาพการณ์ที่บริษัทใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาพัฒนาโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จ
ในต้นเดือนสิงหาคม จีนระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหลังราคาผู้บริโภคลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี การเติบโตที่อ่อนแอจะทำให้จีนไม่ต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นเช่นที่หลายประเทศเจอ ซึ่งทำให้ธนาคารชาติต้องเร่งเพิ่มดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี การนำเข้าและส่งออกที่ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอลงทั่วโลก จะส่งผลกระทบกับโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับ 2 ของโลก ทำให้เมื่อต้นสัปดาห์จีน ธนาคารกลางจีนได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำคัญอย่างไม่คาดคิดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
