ผู้เขียน | ทรรศวรรณ ทัพสุวรรณ |
---|
พลันที่การเมืองไทยพลิกฝั่งพลิกฝ่ายกันอีกตลบ ส้มหล่นพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น นโยบายเด่นอย่าง “แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท” จึงกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง
แต่ด้วยเงินงบประมาณกว่า 5.6 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลต้องกู้ ถูกตั้งคำถามว่าจะนำเงินจากไหนมาใช้หนี้คืน รวมถึงจะฟื้นเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน?
เรื่องนี้ สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ให้ความเห็นว่า นโยบายพรรคเพื่อไทยแจ้งว่าแหล่งเงินอาจต้องจัดเก็บภาษีจากเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว ตรงนี้ไม่เห็นด้วย เพราะประชาชนจ่ายภาษีต่อเนื่อง ปัจจุบันมีภาษีต่างๆ เพียงแต่คนจนหักภาษีไม่ได้ แต่คนรวยหักภาษีได้ตลอด
อีกทั้งกฎหมายไม่ได้ทำระบบให้รายย่อยทำธุรกิจได้ง่าย ถ้าลองไปเปิดธุรกิจร้านค้ารายย่อยจะรู้ว่าการดำเนินงานตามกฎหมาย ผู้ประกอบการต้องจ้างคนมาทำบัญชี ตรวจสอบเรื่องต่างๆ เป็นอุปสรรคของรายย่อย หรือคนจนที่รัฐไม่ได้มอง
ขณะที่รัฐบาลใช้เงินฟุ่มเฟือย และสินค้าแพงขึ้น สาเหตุจากนายทุนใหญ่เป็นผู้ผลิตสินค้าทำราคาออกสู่ตลาด
เมื่อรัฐบาลนำเงินจากมือซ้ายไปจ่ายมือขวา ซึ่งมือซ้ายเงินมาจากงบประมาณแผ่นดินที่ไม่พอจนนำไปสู่การกู้เงิน เป็นการสร้างหนี้ และนำมือขวาไปจ่ายให้กับประชาชน เมื่อเกิดการใช้จ่าย ทำให้เงินไหลเข้าสู่มือนายทุนทั้งหมด สะท้อนจาก 4-5 ปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลแจกเงินมาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่เห็นคือนายทุนใหญ่รวยขึ้น แต่ประชาชนจนลง หนี้สินเพิ่มขึ้น จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท ขณะที่นายทุนรวยติดอันดับท็อป 10 ของระดับโลก ถ้าเป็นปัญหาจากโรคระบาด หรือมีปัญหาการหาเงิน นายทุนใหญ่จะต้องจนลงเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป กลับกันนายทุนใหญ่รวยขึ้น
นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ยังตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า หรือเพราะกติกาในประเทศไทยมันบิดเบี้ยว และเอื้อต่อนายทุนมากเกินไป จนทำให้คนไทยบางกลุ่มลืมตาได้ยากกว่าคนรวยในประเทศ
น่าจะเป็นความในใจของหลายคนที่อยากสะท้อนก่อนรัฐบาลใหม่จะเดินหน้านโยบายประชานิยมแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท!!