ตลาดทุนรับน้องรัฐบาล เศรษฐา1 ‘หุ้นไทย’ ออกอาการ ‘วิ่งมาราธอน’

ตลาดทุนรับน้องรัฐบาล เศรษฐา1 ‘หุ้นไทย’ออกอาการ‘วิ่งมาราธอน’

หลังจากโหวตผ่านได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ผ่านไปแล้ว ก้าวต่อจากนี้สปอตไลต์ส่องไปหาตัวบุคคลตั้งแต่รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง หน้าตาคณะรัฐมนตรีใหม่จะเป็นอย่างไร!! จากวันลงคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ก็เข้าเดือนที่ 4 ที่ต้องร้องเพลงรอแล้วๆ กันทุกวัน

ดังนั้น เมื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านฉลุย ภาพการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีแน่นอน ชัดเจนขึ้น ได้ช่วยปลดล็อกบรรยากาศอึมครึม หลายๆ เรื่องคลี่คลายลง โดยเฉพาะบรรยากาศของการลงทุน ด้วยที่ผ่านมาทั้งนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่จริงๆ สักที เพื่อให้สามารถประเมินนโยบายในการขับเคลื่อนเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 25 สิงหาคม 2566 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิแล้วกว่า 130,972.16 ล้านบาท แรงซื้อส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก ทำให้คาดการณ์ว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อไปแล้ว ช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้จะได้เห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย เป็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิอีกครั้งหลังจากทิ้งหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง

⦁หุ้นไทยเด้งรับ ‘เศรษฐา 1’

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในโทนตอบรับการมีรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจนขึ้นเป็นเชิงบวกอยู่ แต่ไม่ได้เป็นภาพของการตอบรับข่าวความชัดเจนแล้ว หุ้จำเป็นจะต้องปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเสมอไป เนื่องจากตอนนี้การจัดตั้งรัฐบาลใกล้แล้วเสร็จ ภาพหลายอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ว่ากันไป แต่เพราะหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีปรับลดลงค่อนข้างรุนแรง ทำให้เมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนออกมาแล้วข้อดีจะทำให้ตลาดลงได้ยาก ภาพตลาดหุ้นไทยจะไม่ได้แย่ ค่อยๆ ทรงตัวต่อไป แม้ปัจจัยต่างประเทศมีความผันผวน หรือแย่กว่าปกติ แต่หุ้นไทยก็ยังสามารถไปต่อได้เพราะลงมาเยอะแล้ว

“ยังประเมินดัชนีสูงสุดสิ้นปี 2566 นี้อยู่ที่ 1,570 จุด ยังคงไม่ได้ไปไหนไกลมากนัก”

Advertisement

ซึ่งการจะให้ตลาดหุ้นตอบรับข่าวดีแบบบวกมากๆ ต้องยอมรับว่ายังไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนขนาดนั้น เนื่องจากดูก็รู้แล้วว่าในไตรมาส 4/2566 หรือช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะดร็อปลงค่อนข้างแรง เพราะงบประมาณประจำปี 2567 ยังคงไม่ได้ใช้ ภาคการส่งออกค่อนข้างน่าเป็นห่วงเนื่องจากจีนจะมีความวิตกกังวลในปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ที่ครบกำหนดการชำระหนี้สินบางส่วนแล้ว ซึ่งหากไม่สามารถชำระได้ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการถัดไป อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหนี้มีขนาดใหญ่ มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท ทำให้ไตรมาส 4เครื่องจักรส่งออกจะไม่ได้ดีมากนัก สะท้อนจากที่ผ่านมา ส่งออกติดลบเกือบทุกเดือนตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา รวมถึงการอุปโภคบริโภคในประเทศก็จะชะลอตัวลง เพราะการท่องเที่ยวในประเทศไม่ได้ดีเท่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนของภาครัฐยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะต้องรอไปปี 2567 ประมาณไตรมาส 2 ทีเดียว

⦁ดันทุรังใช้ ‘งบสูง’ ยิ่งน่ากลัว

นายประกิตระบุอีกว่า ความกังวลใจในเรื่องการใช้งบประมาณอย่างดันทุรังถือเป็นความกังวลใจหลักที่มีอยู่ เพราะมีความน่ากลัว อย่างการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน แค่อันเดียวก็ระเบิดได้แล้วในส่วนของงบประมาณที่ต้องใช้ทำมาตรการประมาณ 5 แสนล้านบาท แม้มีการบอกว่าไม่ต้องใช้ถึงขนาดนั้นเพราะสามารถเก็บภาษีคืนมาได้ แต่ประเด็นคืองบ
เริ่มต้นหากจะแจกที่ 10,000 บาทต่อคน ก็ต้องใช้ประมาณ 5 แสนล้านบาทอยู่ดี โดยหากประเมินโครงสร้างงบประมาณของประเทศไทย รวมอยู่ประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายประจำอยู่ประมาณ 2.5-2.6 ล้านล้านบาท งบที่เหลือแบ่งเป็นงบกลางมีเพียง 4-5 ล้านล้านบาทเท่านั้น ทำให้หากใช้งบเพื่อทำโครงการนี้ก็ต้องกู้เงินมาเพิ่ม แต่คำถามคือกู้แล้วนำมาแจก

“ปัจจุบันเป็นภาวะดอกเบี้ยสูงด้วย อีกทั้งไทยยังมีหนี้ที่เคยออกพันธบัตรในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำไว้เยอะ แต่ตอนนี้ดอกเบี้ยสูงขึ้น และพันธบัตรหลายรุ่นต้องมีการต่ออายุสัญญาใหม่ เมื่อสัญญาที่ถือสถานะอยู่ใกล้จะถึงวันซื้อขายวันสุดท้าย (Rollover) อีกครั้ง ทำให้จากหนี้ก้อนเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว หากจะกู้มาเพิ่มก็จะยิ่งทำให้ภาระด้านการคลังในอนาคตมีสูงมากๆ ทั้งที่ปัจจุบันรายได้ในการเข้าประเทศไม่ได้มีมากนัก หากมาตรการที่ใช้งบประมาณเข้าไปไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวได้จริง รายได้ประเทศไม่เพิ่มขึ้น เพราะภาษีก็เก็บได้เพียงปีแรกเท่านั้น ปีต่อไปก็หมดลงแล้ว ทำให้ภาระที่ไปกู้มาเพิ่มและต้องเจอดอกเบี้ยในระยะยาวถือว่าหนักมาก” นายประกิตกล่าว

Advertisement

นายประกิตกล่าวเสริมว่า ช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน ที่เป็นนโยบายหลักนั้นยังไม่สามารถทำในปีนี้ได้แน่นอน เพราะต้องอาศัย 2 ส่วน ทั้งงบประมาณและกฎหมายสอดคล้องกัน โดยนโยบายที่สามารถผลักดันออกมาได้ทันทีมองว่าเป็นเรื่องการใช้เครื่องมือของแต่ละกระทรวงมากกว่า เป็นมาตรการขนาดเล็กออกมาก่อน อาทิ กระทรวงพลังงาน การลดค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน ที่อาจสามารถออกมาได้บ้าง เพราะใช้เงินกองทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาอุ้มก่อน จากนั้นรัฐบาลค่อยเข้ามาจัดการอีกครั้ง ซึ่งกรณีแบบนี้จะสามารถทำได้ แต่การแจกเงินหากจะทำจริงยังต้องรอใช้งบประมาณปี 2567 ที่ยังไม่ออกมาอย่างเดียว

⦁ศก.จีนซบ/ถ่วงศก.โลก

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยสะท้อนภาพที่ไม่แตกต่าง โดยประเมินไว้ว่าภาพเศรษฐกิจจีนที่เคยถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในปี 2566 กลับเริ่มส่งสัญญาณสูญเสียโมเมนตัมในการฟื้นตัว ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2566 จนถึงปัจจุบัน โดยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนในเดือนกรกฎาคม 2566 อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะหดตัว รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่อยู่ในภาวะเงินฝืด ต่างสะท้อนภาพเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรงลง โดยจีนยังคงเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทายทั้งภายในประเทศ อาทิ วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาระหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น และปัจจัยภายนอกประเทศจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

“ทำให้ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจอื่นๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่มีการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนในระดับค่อนข้างสูงผ่านทางภาคท่องเที่ยวและการส่งออก โดยคาดว่าส่งออกทั้งปี 2566 จะหดตัวเพิ่มขึ้นอีก จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบประมาณ 1.2% เท่านั้น”

⦁ จีดีพีไทยต้องการ‘ยาแรง’

สำหรับ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) กล่าวว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น หัวใจที่สำคัญในตอนนี้คือประเทศไทยต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้าง เนื่องจากงบประมาณประจำปี 2567 จะล่าช้าออกประมาณ 3 เดือน ซึ่งจะเป็นจังหวะเดียวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากกว่านี้ ทำให้เป็นจุดสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เงินที่ต้องนำไปใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่ไม่มากนั้นจะนำไปใส่ในกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง

“ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้ตัดสินใจตามเงินที่มีทั้งหมดในหน้าตัก ทำให้ภาพรวมในเชิงเศรษฐกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างในช่วงต้นปี 2567 ถือเป็นเรื่องที่ดี ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่น่าจะชะลอตัวลงยิ่งกว่านี้”

จากนานาความเห็นข้างต้น ความคาดหวังมุ่งตรงไปที่รัฐบาล “เศรษฐา 1” อย่างแรงกล้า อีกไม่นานคงได้ลุ้นฝีไม้ลายมือ เมื่อได้รัฐมนตรีนั่งประจำตำแหน่งแล้ว!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image