ถอดรหัสความสำเร็จแสนล้าน ‘เอพี’JV‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ ผูกปิ่นโตคอนโดแนวรถไฟฟ้า

ถอดรหัสความสำเร็จแสนล้าน ‘เอพี’JV‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ ผูกปิ่นโตคอนโดแนวรถไฟฟ้า

ถอดรหัสความสำเร็จแสนล้าน
‘เอพี’JV‘มิตซูบิชิ เอสเตท’
ผูกปิ่นโตคอนโดแนวรถไฟฟ้า

นับตั้งแต่ปี 2557 ที่สองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) จากประเทศไทย และ บริษัท มิตซูบิชิ
เอสเตท จำกัด (มหาชน) องค์กร 130 ปี จากประเทศญี่ปุ่น ตกลงปลงใจร่วมทุนคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่การลงทุนครั้งใหญ่ โดยตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มีเอพีถือหุ้น 51% และมิตซูบิชิ เอสเตทถือหุ้น 49% เพื่อทำหน้าที่ลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนคิดเป็นมูลค่าถึงปัจจุบัน 12,619 ล้านบาท

10ปีลงทุน24โครงการ1.1แสนล้าน

จากวันนั้นถึงวันนี้ ร่วม 10 ปีที่สองยักษ์ต่างเชื้อชาติ ผูกปิ่นโตปักหมุดคอนโดมิเนียมในไทยแล้ว 24 โครงการ จำนวน 23,500 ยูนิต มูลค่ารวม 116,300 ล้านบาท ผ่าน 4 แบรนด์ ริทึ่ม, แอสปาย, ไลฟ์ และดิ แอทเดรส ที่ฮิตติดหูลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ

สถานะล่าสุดปิดการขายแล้ว 13 โครงการ มูลค่า 60,650 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ มูลค่า 55,650 ล้านบาท โดยทุกโครงการมียอดขายเฉลี่ยรวมกัน 60% คิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท

ADVERTISMENT

โดยมี 2 โปรเจ็กต์ใหม่ เป็นมาสเตอร์พีซส่งท้ายปี 2566 บนที่ดินแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพฯ คือคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ “ดิแอดเดรส สยาม-ราชเทวี” มูลค่า 8,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 40% และโครงการ “ริทึ่ม เจริญนคร ไอคอนิค” ตรงข้ามไอคอนสยาม เนื้อที่ 4 ไร่ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ขนาดตั้งแต่ 35 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 7.7 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 170,000-180,000 บาท มีแผนเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนนี้

ซีอีโอเอพีไขรหัสลับความสำเร็จ

การเดินทางของ “เอพี-มิตซูบิชิ เอสเตท” ตลอด 1 ทศวรรษ กว่าจะจูนกันได้ลงตัวนั้นไม่ง่าย!

อนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ไขรหัสลับว่าเป็นเรื่องความเชื่อใจกัน การทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา อย่างเช่นที่ดินบางแปลงที่เอพีซื้อมาและโอนเข้าไปบริษัทร่วมทุนในราคาที่สูงกว่า เพราะเอพีซื้อและถือไว้ก่อน ซื้อเท่าไร ลงเท่านั้น ขณะที่กระบวนการทำงานจะเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายเข้าไปดูระบบและตรวจสอบได้หมด จึงเป็นรากฐานของความร่วมมือ

“การทำธุรกิจร่วมทุน หัวใจ คือ Trust ความไว้ใจ เชื่อใจกัน ร่วมมือกัน เคารพซึ่งกันและกัน ถ้าเราไม่สามารถ Trust พาร์ตเนอร์ได้แล้ว อย่าทำ เพราะสุดท้ายจะทำให้ธุรกิจล่มสลาย นั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอด 10 ปี” ซีอีโอเอพีย้ำ

พร้อมอธิบายว่าความร่วมมือทางธุรกิจที่เกิดขึ้น ยังได้สร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในทุกมิติ เกิดเม็ดเงินลงทุนที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม มีการจ้างงานกับคู่ค้ากว่า 100 บริษัท ที่อยู่ในระบบของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ในการดำเนินธุรกิจและคืนกำไรกลับสู่สังคม ถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะทำได้ แต่ยอมรับว่าด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้การลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมยากกว่า 10 ปีแรกมาก โดยเฉพาะการกู้เงินและหาที่ดินในทำเลที่ใช่

“ถามว่าเรากับเขา จะร่วมทุนกันไปอีกนานแค่ไหน เท่าที่รู้เขาไม่หนีผมไปไหน ผมก็หนีเขาไม่ได้ คงมีความร่วมมือกันอีกยาวอย่างเข้มข้น ในการลงทุนใหม่ ตามโรดแมป FROM STRENGTH TO STRENGTH การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด เพื่อลงทุนคอนโดมิเนียมในไทย รับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่ยังเติบโต แต่คงบอกไม่ได้ จะลงทุนกี่โครงการในแต่ละปี อยู่ที่การหาที่ดิน เรามีซื้อเพิ่มตลอดเวลา เมื่อได้ที่ดินแล้ว จะถามพันธมิตรญี่ปุ่นก่อน ถ้าแปลงไหนเล็กเราจะพัฒนาเอง” อนุพงษ์ตอกย้ำ

ญี่ปุ่นประทับใจ‘สปีด-ความเชื่อใจ’

ด้านทีมญี่ปุ่น อะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ
เอสเตท จำกัด (มหาชน) เล่าถึงการทำธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯในยุโรปและอเมริกา ถึงวันนี้มีธุรกิจอสังหาฯอยู่ในยุโรป อเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

“ประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เพราะเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯเติบโตอย่างมีศักยภาพ เอื้อต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างเอพีซึ่งตลอด 10 ปีที่ร่วมทุน ทำให้มีความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร และกฎหมายไทยมากขึ้น เช่น การทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม” อะซึชิเปิดใจ

ขณะที่ ยูจิ โอกาโมโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดแผนการลงทุนของมิตซูบิชิ เอสเตทในตลาดต่างประเทศ โดยวางเป้าถึงปี 2030 จะลงทุนปีละ 2-2.5 แสนล้านเยน ให้น้ำหนักที่อเมริกา รองลงมาในแถบยุโรปและอังกฤษ จากนั้นเป็นตลาดภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย จีน และไต้หวัน

สำหรับการร่วมมือจนประสบความสำเร็จนั้น “ยูจิ” บอกว่าเกิดจากความเชื่อใจกัน การร่วมมือกัน และการเคารพซึ่งกันและกัน เป็นแนวทางที่ทำร่วมกันมาตลอด 10 ปี และต่อไปจะทำให้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องความไม่เข้าใจกันก็มี เมื่อก่อนบริษัทไม่แน่ใจเรื่องประเทศไทย กฎหมายเป็นอย่างไร ลักษณะการทำบัญชีเป็นอย่างไร ก็ต้องซักถามรายละเอียดกับทางเอพีทุกเรื่อง ที่ถามไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ เป็นเพราะไม่รู้ เลยต้องการทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในไทย และเอพีก็ตอบและให้ดูข้อมูลทั้งหมด จึงมีความรู้สึกว่า นี่คือ รูปแบบของการดำเนินงานที่ดี

“สิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากกับการร่วมงานกับเอพี คือ การตัดสินใจที่รวดเร็วและมองความต้องการของลูกค้าออกได้อย่างรวดเร็วและยังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วด้วยซึ่งความรวดเร็วในการดำเนินงานนั้นเป็นเรื่องที่ประทับใจ และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ คือ ในเมืองไทยน่าจะเหมาะกับการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในบ้านรวมถึงระบบออนไลน์และการออกแบบแปลนบ้านให้เหมาะกับยุคโควิดให้การดีไซน์ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าหลังจากนี้ ต่อไปเมื่อทำโปรเจ็กต์ใหม่ร่วมกัน จะนำสิ่งที่ถนัด สิ่งที่มีอยู่ มาทำโปรเจ็กต์ที่ดีให้สำเร็จยิ่งขึ้น และอีกยาวนาน ทั้งในแง่ธุรกิจ การส่งมอบโนฮาว” ยูจิกล่าว

มองตลาดอสังหาฯไทยมีเสน่ห์

พร้อมกับย้ำว่า การที่มิตซูบิชิ เอสเตทสนใจตลาดอสังหาฯไทย เพราะมีเสน่ห์และเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯที่มีดีมานด์ เพราะคนเข้ามาอยู่อาศัยจำนวนมาก ขณะเดียวกันเมืองไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมานานแล้ว ซึ่งต่อไปการพัฒนาโครงการคงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียว ต้องมีการพัฒนาโมเดลร่วมกันเพื่อรองรับตลาดกลุ่มนี้ด้วย

จากธงที่เอ็มดีมิตซูบิชิ เอสเตท ตั้งไว้ ล่าสุดเตรียมจะโคลนนิ่งโมเดลที่ญี่ปุ่น มาปักหมุดในเมืองไทย และคงจะได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะทั้งเอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กำลังรันโมเดล “การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในโปรเจ็กต์ที่จะร่วมกันพัฒนา เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต การใช้งาน ร่วมกันของคนทุกวัย รวมถึงผู้พิการและสูงอายุ

เพื่อให้เห็นและสัมผัสของจริง ในทริปบินลัดฟ้าฉลองความสำเร็จครบรอบ 1 ทศวรรษ เมื่อวันที่ 7-11 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ มหานครโตเกียว ทาง “มิตซูบิชิ เอสเตท” เลยพาทัวร์ 2 โครงการโมเดลต้นแบบ คือ อาคารสำนักงาน Tokyo Torch Tokiwabashi Tower และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีความโดดเด่น ในเรื่องการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เป็นคอมมูนิตี้ให้ทุกคนทำกิจกรรมร่วมกันได้นั่นเอง

ยังคงเป็นความท้าทาย น่าต้องติดตามไม่น้อย สำหรับก้าวย่าง “ทศวรรษที่ 2” ของการสานพันธกิจระหว่าง “เอพี-มิตซูบิชิ เอสเตท” อีก 10 ปีถัดไปจากนี้ หลังประกาศจับมือกันอย่างเหนียวแน่นขึ้นเป็นทวีคูณ เพื่อก้าวสู่การเบอร์หนึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

ประเสริฐ จารึก