กรอ. จับมือ เกษตร ตั้งกก.ร่วมเข้มเกณฑ์นำกากอุตฯผลิตปุ๋ย เร่งเครื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน ได้หารือร่วมกับ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วยนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ถึงการใช้ประโยชน์วัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทำปุ๋ยหรือสารปรับปรุงคุณภาพดิน ที่สำนักอธิบดี กรมวิชาการเกษตร
ทั้งนี้ จากการประชุมเบื้องต้นกรมวิชาการเกษตรเห็นด้วยกับหลักเกณฑ์ตามกฎหมายโรงงานที่อนุญาตนำกากอุตสาหกรรมไปทำปุ๋ยหรือสารปรับปรุงคุณภาพดิน ซึ่งอยู่ในกลุ่มการจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (Waste Management Codes) รหัส 083 โดยอนุญาตเฉพาะวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นวัสดุอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ สามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ได้ตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น เศษชิ้นส่วนพืชและสัตว์ ขี้เถ้าแกลบ กากกาแฟ กากยีสต์ กากกรองเบียร์ ดินฟอกสีน้ำมันพืช เป็นต้น โดยจะต้องไม่ปนเปื้อนสารประกอบปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน สารยับยั้งจุลชีพ สารกำจัดแมลงศัตรูหรือโรคพืชและสัตว์ อีกทั้ง ต้องเป็นกากตะกอนชีวภาพจากอุตสาหกรรมอาหารหรือเกษตรแปรรูป เยื่อและกระดาษ
สำหรับวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว กากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียจากอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี จำเป็นต้องหาวิธีจัดการอื่นที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารที่ไม่พึงประสงค์ไปยังดินและแหล่งน้ำใต้ดิน เข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ตลอดจน เพื่อป้องกันการสะสมสารเคมี สารอนินทรีย์ในดิน น้ำใต้ดิน เกินขีดจำกัดที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์ เกิดผลกระทบต่อพืช รวมถึงกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกร และการบริโภคของมนุษย์และสัตว์ในระยะยาว
นอกจากนี้จากการร่วมหารือ กรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมวิชาการเกษตร ตกลงร่วมมือกันเสนอตั้งคณะกรรมการวิชาการร่วมกัน เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การนำกากอุตสาหกรรมไปผลิตเป็นปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน โดยจะมีคำสั่งแต่งตั้งนักวิชาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม(สภาอุตสาหกรรม) กรมควบคุมมลพิษ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.ซึ่งดูแลสลากสารปรับปรุงคุณภาพดิน)
นายจุลพงษ์ กล่าวย้ำว่า การนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากอุตสาหกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและถูกต้องตามหลักวิชาการ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำบัด/กำจัดวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากอุตสาหกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสในการแข่งขันทางการค้าสอดคล้องกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสมดุล เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ.2050) การปลดปล่อยก๊าซเรื่อนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ.2065) ตามนโยบายของรัฐบาล