คิดเห็นแชร์ : เร่งเครื่อง‘ภาคการท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย

คิดเห็นแชร์ : เร่งเครื่อง‘ภาคการท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย

บทความ “คิด เห็น แชร์” นี้ จะกล่าวถึงประเด็นมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยล่าสุดที่ประชุม ครม. อนุมัติมาตรการยกเว้นการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนระหว่างวันที่ 25 ก.ย.2566-29 ก.พ.2567 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักท่องเที่ยวจีนในช่วง High season ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่การส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญอีกตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอตัว เนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ โดยเฉพาะประเทศจีน

จากบทวิเคราะห์ล่าสุด ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 นี้ จะฟื้นตัวขึ้นเป็น 28.5 ล้านคน (จากเดิมก่อนมีมาตรการ คาดไว้ที่ 28 ล้านคน) ซึ่งคิดเป็นราว 71% เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยหากพิจารณานักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 (7M66) นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย (เดินทางเข้าไทยแล้ว 2.5 ล้านคน มากเกินกว่าจำนวนที่เคยเดินทางเข้าไทยก่อนเกิดวิฤตโควิด-19 แล้ว) ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีน ในช่วง 7M66 มีจำนวนเพียง 1.9 ล้านคน หรือคิดเป็นเพียง 28% ของจำนวนที่เคยเดินทางเข้าไทยก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ดังนั้นผมประเมินว่ามาตรการยกเว้นการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนจึงเป็นการพุ่งเป้าที่จะเติมเต็มกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายหลัก ในช่วงโค้งสุดท้าย High season ของปี (วันชาติจีน 1 ต.ค. และช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่)

จากข้อมูลสถิติในอดีต การเดินทางในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ ที่แม้ว่าจะมีการใช้จ่ายเรื่องที่พักในอัตราที่น้อยกว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวเองถึงราว 21% แต่นักท่องเที่ยวในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์จะเน้นใช้จ่ายในเรื่องของการซื้อสินค้าและของที่ระลึกเป็นสัดส่วนถึง 38% ของยอดใช้จ่ายรวม ซึ่งมากกว่าค่าใช้จ่ายด้านที่พัก ที่คิดเป็นเพียง 19% ของยอดใช้จ่ายรวม ผมประเมินว่ามาตรการยกเว้นวีซ่าของภาครัฐ จะไปช่วยสนับสนุนการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีนประเภทกรุ๊ปทัวร์โดยตรง เท่ากับว่าน่าจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายซื้อสินค้าและของที่ระลึกของไทยในช่วงปลายปีนี้ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่จะเตรียมตัวใช้ช่วงเวลานี้ในการรับมือกับการทำธุรกิจขายสินค้าและของที่ระลึกให้กับกรุ๊ปทัวร์ชาวจีน

Advertisement

อย่างไรก็ดี แม้ทางภาครัฐจะช่วยสนับสนุนลดขั้นตอนซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการยื่นขอวีซ่าแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการกลับมาของนักท่องเที่ยว โดยในช่วง 7M66 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังไม่ฟื้นกลับมามากนัก แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะผ่อนคลายลงแล้วก็ตาม แต่อัตราการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีนช่วง 7M66 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเพียงราว 28% ขณะที่อัตราการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ในช่วง 7M66 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 นั้น ส่วนใหญ่ฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับที่สูงพอสมควรแล้ว อาทิ เกาหลี (85%) อินเดีย (78%) รัสเซีย (98%) เวียดนาม (97%) สิงคโปร์ (96%) สหรัฐ (78%) ลาว (47%) อังกฤษ (79%) เป็นต้น ดังนั้นเราประเมินว่ากรณีเลวร้ายที่เศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยังเลือกที่จะประหยัดเงินออมไว้ และทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ได้เช่นกัน หรือหากจะเดินทางท่องเที่ยวก็มีโอกาสที่จะใช้จ่ายอย่างประหยัด

ผมขอกลับมาที่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผมประเมินว่าสถานการณ์ในปัจจุบันย่ำแย่กว่าในช่วงที่ผมเขียนบทความ คิด เห็น แชร์ เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาเสียอีก แม้ว่าเราจะได้เห็นการประชุม ครม. และมีการกำหนดนโยบายต่างๆ เพื่อเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยโลกที่ยังมีความเสี่ยงจะปรับขึ้นอีก (แย่กว่าที่คาดไว้เดิม) โดยเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ขณะเดียวกันประมาณการ EPS ของดัชนี SET index กลับถูกปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี หรือ 7 เดือน ติดต่อกัน จนทำให้ส่วนต่างระหว่าง Earnings yield (ส่วนกลับของอัตราส่วน PE) และ Bond yield อายุ 5 ปี และ 10 ปี หรือ Earnings yield gap ต่ำเพียง 3% และ 2.75% ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลในอดีตช่วงที่ Earnings yield gap ลดลงต่ำขนาดนี้คือ ช่วงวิกฤตโควิด-19 และในสถานการณ์ปกติ Earnings yield gap เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ราว +4%

ดังนั้น ผมจึงประเมิน Valuation ของตลาดหุ้นไทยขณะนี้ค่อนข้างตึงตัว และมีความเสี่ยงที่จะพักฐาน หากเกิดปัจจัยลบที่ไม่คาดคิด และคำแนะนำสำหรับการลงทุนในช่วง 1-3 เดือนนี้ ผมแนะนำ เลือกสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่พักฐานลงมาแล้ว โดยอาจเน้นไปที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก ท่องเที่ยว เป็นต้น

Advertisement

สุโชติ ถิรวรรณรัตน์
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image