‘ธรรมนัส’ มั่นใจน้ำเพียงพอหนุนทุกกิจกรรมในฤดูแล้ง ส่วน ‘อีสาน’ คาดเข้าสู่ภาวะปกติไม่เกิน 10 พ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่กรมชลประทาน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำว่า เมื่อต้นปี 2566 มีการคาดกันว่าปริมาณฝนทั่วประเทศจะต่ำกว่าคาดการฝนปกติอัตรา 27% แต่จากแต่จากกลางเดือนกรกฎาคมมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น จากอิทธิพลของร่องมรสุมพัดผ่านภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ตลอดไปถึงภาคอีสาน ส่งผลให้ฝนตกเพิ่ม แต่ยังต่ำกว่าปีปกติประมาณ 9%
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การคาดการณ์ฝนที่น้อยกว่าค่าปกติจำนวนมาก ส่งผลให้กรมไม่สามารถสนับสนุนการทำการทำนาปรังได้ ให้ชาวนาทำนาได้เพียงรอบเดียว แต่หลังจากสถานการณ์ฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เขื่อนจำนวนมาก มีปริมาณน้ำสูงขึ้นโดยอ่างขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีปริมาณน้ำตั้งแต่ 81% ของความจุอ่าง จำนวน 14 เขื่อน และมีปีริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี 80% ของความจุดอ่าง จำนวน 17 แห่ง
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวต่อว่า ปัจจุบันปริมาณน้ำมีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากมีฝนตกจำนวนมาก ทำให้น้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้น จึงมีโอกาสในการทำนาปรังในพื้นที่เขตชลประทาน และทั่วประเทศได้ใกล้เคียงปีก่อน 2565 แต่จะต้องผ่านการประชุมคณะทำงานวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ที่มีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นฝ่ายเลขานุการ หากมีมติเห็นชอบ กระทรวงเกษตรฯ จะนำเข้าคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต่อไป
“ขณะนี้ปริมาณน้ำทั่วประเทศใกล้เข้าสู่ภาวะปกติ อาทิ บริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำชี-มูล จะใช้เวลาไม่เกิน 20 วันจากนี้ไป หรือไม่เกิน 10 พฤศจิกายนนี้ น้ำที่มีการท่วมขังหรือเอ่อล้น จะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ส่วนภาคกลางก็อยู่ระหว่างการบริหารจัดการน้ำ เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนและการนำน้ำเข้าเก็บในทุ่งของเกษตรกร ที่ต้องการน้ำเพื่อทำการเกาตรในรอบต่อไป เพราะช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝน” ร.อ.ธรรมนัสระบุ
ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีน้ำใช้การได้ประมาณ 31,874 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 6,870 ล้าน ลบ.ม. ที่มี 2565 มีปริมาณน้ำใช้การได้ทั้งสิ้น 38,744 ล้าน ลบ.ม. ส่วนปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 8,524 ล้าน ลบ.ม. และคาดการณ์ว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ จะมีจำนวน 9,673 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้อยกว่าปี 2565 จำนวน 4,401 ล้าน ลบ.ม.
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวอีกว่า ในจำนวนนี้มีจำนวน 8 เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีน้ำสูงกว่าเกณฑ์เก็บกักน้ำสูงสุด ได้แก่ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มีน้ำ 277 ล้าน ลบ.ม. หรือ 105% ของความจุอ่าง เขื่อนแม่มอกมีน้ำ 114 ล้านลบ.ม. หรือ 104% ของความจุอ่าง เขื่อนกิ่วลม มีน้ำ 101 ล้าน ลบ.ม. หรือ 95% ของความจุอ่าง เขื่อนห้วยหลวง มีน้ำ 134 ล้าน ลบ.ม. หรือ 99% ของความจุอ่าง เขื่อนน้ำพุง มีน้ำ 149 ล้าน ลบ.ม. หรือ 91% ของความจุอ่าง เขื่อนอุบลรัตน์มีน้ำ 2,243 ล้าน ลบ.ม. หรือ 92% ของความจุอ่าง เขื่อนลำปาว มีน้ำ 2,117 ล้าน ลบ.ม. หรือ 107% ของความจุอ่าง และเขื่อนขุนด่านปราการชลมีน้ำ 221 ล้าน ลบ.ม. หรือ 99% ของความจุอ่าง