นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าบริษัทจดทะเบียนไทยบางรายหันไปใช้ตั๋วแลกเงิน (บี/อี) เพื่อระดมทุน ซึ่งในความจริงแล้วตั๋วบีอีเหมาะสำหรับการบริหารสภาพคล่องในระยะ 270 วัน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะที่ผ่านมาต้นทุนการออกตั๋วบีอีอยู่ในระดับต่ำตามอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีของบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านมานั้นเป็นการผิดนัดชำระหนี้ทางเทคนิค ยังยืนยันว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมีความแข็งแกร่งในด้านงบการเงินหนี้สินต่อทุนเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำเพียง 1-1.5 เท่า กระแสเงินสดเพียงพอ อีกทั้ง ธนาคารพาณิชย์ยังมีสภาพคล่องทางการเงินเหลือมากกว่าในอดีตและยินดีที่จะให้เงินทุนกับบริษัทจดทะเบียนทั้งเพื่อขยายกิจการและชำระค่าตั๋วบีอีกรณีที่ผู้ลงทุนไม่ต่ออายุตั๋วบีอี(โรลโอเวอร์)
นอกจากนี้ ประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งการผิดนัดชำระหนี้ในแต่ละครั้งบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้สามารถคืนเงินในภายหลังได้เกือบทุกบริษัท ทั้งนี้ แนะนำให้บริษัทที่จะใช้ตราสารหนี้เพื่อระดมทุนนั้นหากเป็นไปได้ขอให้ไปจัดอันดับเครดิตเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและเพื่อกำหนดอัตราผลตอบแทนที่สะท้อนความเสี่ยงของบริษัท
“ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่เข้าขั้นวิกฤติเรื่องตั๋วบีอี และทางตลาดหลักทรัพย์ได้ทำงานร่วมกับสมาคมตลาดตราสรหนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในระบบ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่เรียกว่าเสียหาย เราเฝ้าระวังไม่ให้ไฟไหม้ฟาง ส่วนบริษัทที่ต้องการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้นั้นควรจะออกเป็นหุ้นกู้ระยะสั้นและหุ้นกู้ระยะยาวแทน เพื่อไม่ต้องเหนื่อยกับการมาโรลโอเวอร์บ่อยครั้ง”นายสันติกล่าว
