นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพแนวโน้มตราสารหนี้ไทยในปีนี้จะยังคงผันผวนตามปัจจัยหลักๆ ทั้งในด้านของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและทิศทางค่าเงินบาท โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้ ประมาณ 3 ครั้ง ทั้งนี้ ในส่วนของไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งโดยเป็นการปรับขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.75% ในช่วงครึ่งปีหลัง
“อุปทานของตราสารหนี้ปีนี้คาดว่าเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐฯมีแผนออกพันธบัตรใหม่ในปีงบประมาณ 2560 วงเงินรวม 5.50 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ขณะที่แนวโน้มเสนอขายตราสารหนี้ของภาคเอกชนคาดว่าปีนี้จะมีออกมาประมาณกว่า 200,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผลตอบแทนในตราสารหนี้ปีนี้ ค่อนข้างมีความผันผวนโดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีอายุสัญญายาว”นายพจน์ กล่าว
นอกจากนี้ ทิศทางของค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนที่จะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดตราสารหนี้ ซึ่งสะท้อนได้จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนลดความต้องการพันธบัตรและเริ่มเชื่อมั่นให้น้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นตลาดหุ้นมากขึ้น
ดังนั้น ในด้านการลงทุนในตราสารหนี้ จึงแนะนำการลงทุนในตราสารระยะสั้น เพื่อลดความผันผวนจากราคาตราสาร โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีอายุ(Duration) ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งยังสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับจูงใจสำหรับการลงทุนจากอัตราดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ชอร์ตเทอม ฟิกซ์ อินคัม (ONE-FIXED) ระหว่างวันนี้ ถึง วันที่ 24 มกราคม เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐและเอกชนระยะสั้น โดยจะลงทุนในตราสารภาคเอกชนระยะสั้นประมาณ 40%-50% ของพอร์ตการลงทุน ด้านคุณภาพของตราสารหนี้ เน้นลงทุนในตราสารที่ได้รับการจัดอันดับ ไม่น้อยกว่า 80% ของพอร์ตการลงทุน โดยเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาคัดเลือกตราสาร บริษัทจะวิเคราะห์จากความสามารถในการชำระดอกเบี้ย อัตราหนี้สินต่อทุน กระแสเงินสด และผลการดำเนินงานรายไตรมาสของผู้ออก กองทุนนี้สามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิและมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่ต่ำกว่า 90% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในต่างประเทศ
