‘เจ๊ติ๋ม’ ทีวีพูล โอดธุรกิจเสียหายหนัก-บางสื่อเสนอข่าวล้มละลาย โทษกสทช.ทำร้ายชีวิต

นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ “ติ๋ม ทีวีพูล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางไทยทีวี ได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ให้ ไทยทีวี ดำเนินการจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอล ตั้งแต่งวดที่ 2 จนครบตามจำนวน เป็นเงิน 1,748 ล้านบาท ซึ่งจากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้มีบางสื่อได้นำเสนอว่าตนและธุรกิจในเครือกำลังจะล้มละลาย ส่งผลให้ธุรกิจทั้งเครือได้รับความเสียหายอย่างมาก เช่น ลูกค้าถอนโฆษณาบนนิตยสารในเครือทีวีพูล และลูกค้ายกเลิกการจองห้องพักที่โรงแรม เดอะบลูม บาย ทีวีพูล ที่เขาใหญ่

“ ข่าวที่ออกมาฟังจนรู้สึกท้อ ทั้งที่เรามั่นใจเราไม่ผิด กสทช. นั่นแหละที่ผิด ไม่เข้าใจทำไมคนดีต้องโดนลงโทษ ถ้าไม่เชื่อไปถามใครก็ได้ ลูกค้าคนไหนก็บอก กสทช. ผิดหมด เช่น คูปองทีวีดิจิตอล จนตอนนี้ยังแจกไม่ครบทั้ง 22.9 ล้านครัวเรือนเลย หรือ การประชาสัมพันธ์ที่เงียบมาก เมื่อเทียบกับฝรั่งเศสที่เปลี่ยนผ่านเป็นทีวีดิจิตอล ทั้ง 2 ข้างทางล้วนเต็มไปด้วยบิลบอร์ดประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นการเปลี่ยนผ่านที่มีค่ามาก การมาพูดในวันนี้ อยากให้รู้ว่า กระแสสังคมที่มีต้นเหตุจาก กสทช. ทำร้าย ชีวิตเรายังไง” นางพันธุ์ทิพา กล่าว

นางพันธุ์ทิพา กล่าวว่า ส่วนเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอล สาเหตุที่ทาง ไทยทีวี ไม่ชำระให้แก่ทาง กสทช. เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง พร้อมทั้งได้ยื่นคุ้มครองชั่วคราวไป ฉะนั้นการที่หากไทยทีวีไปดำเนินการชำระเงินให้ กสทช. ก่อน หรือ กสทช. ดำเนินการนำหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงิน(แบงก์การันตี) ขึ้นเงินจากสถาบันการเงินก่อน และท้ายสุดศาลตัดสินให้ ไทยทีวีชนะ ก็จะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจอย่างมหาศาล ส่วนกระแสข่าวเรื่องล้มละลาย ต้องรอศาลตัดสินก่อน ถ้าศาลตัดสินออกมาให้ยึดแบงก์การันตี กว่าจะมีคำตัดสินคงกินเวลาไปกว่า 10 ปี จนส่งผลให้เวลานั้น สามารถทำธุรกิจมีเงินเป็น 10,000 ล้านบาท หรือ 100,000 ล้านบาทแล้ว อีกทั้งทรัพย์สินที่นำไปทำแบงก์การันตีของ ไทยทีวีเอง ก็มีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงินที่ไปประมูลอยู่แล้ว เช่น ที่ดินกว่า 200 ไร่ที่เขาใหญ่

อย่างไรก็ตาม จากธุรกิจที่เสียหายครั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการไล่หรือขอให้พนักงานออก มีแต่ได้ชี้แจงกับพนักงานว่าต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว คน 1 คน ต้องทำทั้งทีวี สิ่งพิมพ์ และสื่อสังคมออนไลน์ แต่ถ้ารับไม่ได้พนักงานคงตัดสินใจลาออกเอง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจในเครือทีวีพูล อาทิ นิตยสารทั้ง 3 หัว ช่องทีวีดาวเทียม และเว็บเพจบนเฟสบุ๊ค และโรงแรม ยังได้รับการตอบรับที่ดี อีกทั้งขณะนี้กำลังเจรจากับพันธมิตรธุรกิจสื่อรายใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งหากการเจรจาบรรลุผลเร็วนี้ก็อาจจะมีการแถลงข่าวใหญ่เกี่ยวกับการทำธุรกิจสื่อร่วมกัน

Advertisement

นางพันธุ์ทิพา กล่าวว่า สำหรับความเสียหายของ บริษัทฯ ที่ได้ยื่นฟ้อง กสทช. ไป มีจำนวน 1,200 ล้านบาท มีต้นเหตุมาจากการทำงานที่บกพร่องกับ กสทช. ในประเด็นต่างๆ ส่วนตัวมั่นใจว่าหาก กสทช. ทำได้ตามที่สัญญาไว้จะไม่มีใครได้รับผลกระทบทางธุรกิจ เนื่องจากมูลค่าเงินค่าโฆษณา 70,000 ล้านบาทต่อปี นั้นเพียงพอต่อทั้งอุตสาหกรรม แต่สาเหตุที่ ไทยทีวี ต้องหยุด เพราะประเมินแล้วว่าไม่คุ้มทุน จากการที่ 1 ปี ลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาท แต่มีอัตราขาดทุนเพิ่มเดือนละ 50 ล้านบาท และได้เงินกลับมาแต่ละเดือนไม่ถึง 3 ล้านบาท หรือรวมที่ผ่านมามีรายได้แค่ 30 ล้านบาท จึงพิจารณาแล้วว่าหากดำเนินการต่อไปคงไม่เพียงต่อเงินที่มีเหลืออยู่ 2,000-3,000 ล้านบาทแน่นอน ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ได้จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิจัยว่ารายการต่างจะได้รับการตอบรับที่ดี และสามารถคืนทุนได้ใน 3 ปี ทั้งนี้ ได้คุยกับผู้ประกอบการรายอื่นๆในวงการ พบว่า แต่ละรายเป็นเหมือนกัน แต่ไม่กล้าออกมาพูดเท่านั้น

“ที่ผ่านมาทำงานหนักเก็บเงินมาทั้งชีวิต ก็เพราะอยากมีช่องทีวีของตัวเอง ซึ่งเป็นความฝันของคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทีวี และบันเทิงทุกคน จากนี้คงเข็ดแล้วที่ทำงานกับรัฐ ทำไปมีแค่ 30 ล้านบาท ไปขายเต้าฮวย ยังได้เงินเยอะกว่าเลย ผลที่ออกมาที่จริงก็เศร้าแต่ยังโชคดีที่เอาธรรมะเข้าช่วย หมดเงินเป็นพันล้าน นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงไปโดดตึกตายแล้ว” นางพันธุ์ทิพา กล่าว

นางพันธุ์ทิพา กล่าวว่า นอกจากนี้ยอมรับว่า ช่วงที่ศาลให้ไกล่เกลี่ยกับ กสทช. และให้เวลาอีก 3 เดือนในการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ทางไทยทีวีเกือบที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการจากต่างชาติมาได้แล้ว เพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ต้องจอดำ แต่ กสทช. ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแบบแรง มีขู่จะยึดทั้งแบงก์การันตีและเรียกดอกเบี้ยเบี้ยวชำระหนี้ จึงทำให้การเจรจาไม่บรรลุผล ทั้งนี้ แผนหลังจากนี้ คงไม่ทิ้งวงการสื่อ และจะทำช่องรายการบนทีวีดาวเทียมให้แข็งแรง พร้อมทั้งหากเสร็จเรื่องคดีความกับ กสทช. จะเดินสายบรรยายต่อมหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างๆ ว่าผ่านพ้นช่วยเวลาที่ไม่ดีมาได้อย่างไรโดยใช้ธรรมะเข้าช่วย

Advertisement

ด้านนายสุชาติ ชมกุล ที่ปรึกษาทางกฎหมายและทนายความ บริษัท ไทยทีวี จำกัด กล่าวว่า เชื่อว่า กสทช. จะไม่สามารถนำแบงก์การันตีไปขึ้นเงินได้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการตัดสินของศาลปกครองการ การจะนำแบงก์การันตีไปขึ้นเงินได้ ต้องนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้สถานบันการเงินชำระเงินให้แทนก่อนเช่นกัน ส่วนตัวเห็นว่าทาง กสทช. เข้าใจในจุดนี้ดี แต่ที่ต้องทำเพราะหากไม่ทำอาจมีความผิด มาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา โทษฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยยืนยันว่าหลักทรัพย์ของไทยทีวี มีพอและพร้อมจ่ายเงินในส่วนดังกล่าว แต่ขอรอให้ศาลปกครองมีผลตัดสินคดีออกมาก่อน ทั้งนี้ ล่าสุด ศาลปกครองได้มีการนัดไต่สวนคดีความของ ไทยทีวี และ กสทช. ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image