ต่างชาติช้อปคอนโดทะลุ 5.2 หมื่นล้าน จีนแชมป์ พม่ารั้งที่ 3 ชลบุรีโอนพุ่งแซงหน้ากทม.
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ในปี 2567 หากการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้นกว่าปี 2566 น่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของสัดส่วนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต่างชาติให้เพิ่มขึ้น และน่าจะสามารถเป็นส่วนที่มาช่วยชดเชยกำลังซื้อของคนไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ได้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้มีการขยายตัวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งห้องชุดในประเทศไทยยังเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อจากต่างประเทศ ทั้งซื้อเพื่อการลงทุนและเป็นบ้านหลังที่สอง และตลาดห้องชุดของไทยยังเปิดกว้างให้แก่ผู้ซื้อต่างชาติ เนื่องจากภาพรวมการถือครองห้องชุดของคนต่างชาติยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนตามกฎหมายกำหนดไว้ที่ 49% ของพื้นที่ทั้งหมด
นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2566 พบว่ามี จำนวน 3,365 หน่วย มูลค่า 17,048 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 0.4% แต่มูลค่าลดลง 2% โดยมียอดสะสมของหน่วยและมูลค่าการโอนในช่วง 9 เดือนแรก เป็นจำนวน 10,703 หน่วย เพิ่มขึ้น 37.6% มูลค่า 52,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจ.ชลบุรีมีการโอนสูงสุด 41.7% อันดับ2 กรุงเทพฯ 37.5% ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่ารวมกันสูงถึง 79.2% อันดับ 3 ภูเก็ต 6.4% อันดับ 4 เชียงใหม่ 6.3% อันดับ5 สมุทรปราการ 2.7% โดยมีข้อสังเกตว่า ชลบุรีเพิ่งมีการขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2566 จากเมื่อ 5 ปีก่อนเป็นกรุงเทพฯที่มียอดโอนสูงสุด ขณะที่ภูเก็ตแซงสมุทรปราการเป็นอันดับ3
นายวิชัยกล่าวว่า ผู้ซื้อสัญชาติจีนมีการโอนมากที่สุดในช่วง 9 เดือนแรก มีจำนวน 4,991 หน่วย หรือ 46.6% รองลงมารัสเซีย จำนวน 962 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 9% สหรัฐอเมริกา จำนวน 422 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.9% ไต้หวัน จำนวน 378 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.5 % และฝรั่งเศส จำนวน 372 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.5% ซึ่งสัญชาติอันดับ 1 และ 2 สอดคล้องกันระหว่างหน่วยและมูลค่าการโอนห้องชุด
“ชาวจีน มีมูลค่าโอนสูงสุด 24,740 ล้านบาท คิดเป็น47.3 % อันดับ2 รัสเซีย มีมูลค่า 3,436 ล้านบาท คิดเป็น 6.6% แต่อันดับ 3 กลับเป็นเมียนมา มีมูลค่า 2,250 ล้านบาท คิดเป็น 4.3 % อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา มูลค่า 2,102 ล้านบาท คิดเป็น 4% และอันดับ 5 ไต้หวัน มูลค่า 1,841 ล้านบาท คิดเป็น 3.5% “นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวว่า ส่วนราคาห้องชุดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอน 1,490 หน่วย คิดเป็น 44.3 % ซึ่งเป็นระดับราคาที่ชาวต่างชาติซื้อมากที่สุดตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน รองลงมาราคา 3.01 – 5 ล้านบาท ราคา 5.01 – 7.5 ล้านบาท มากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป และราคา 7.51 – 10 ล้านบาท โดยผู้ซื้อสัญชาติพม่ายังคงมีการโอนห้องชุดที่มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงสุดที่ 6.5 ล้านบาท ขณะที่ขนาดพื้นที่ห้องชุดเป็นที่นิยม คือ ขนาด 31 – 60 ตารางเมตร(ตร.ม.) ประเภท 1 – 2 ห้องนอน มีจำนวนหน่วยที่โอน 1,814 หน่วย คิดเป็น 53.9% รองลงมาไม่เกิน 30 ตร.ม. ขนาด 61 – 100 ตร.ม. และมากกว่า 100 ตร.ม. 3 ห้องนอนขึ้นไป มีจำนวนน้อยที่สุด ซึ่งผู้ซื้อสัญชาติสหราชอาณาจักรมีการโอนห้องชุดขนาดเฉลี่ยใหญ่สุดอยู่ที่ 56.7 ตร.ม.
“จากข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวต่างชาติต้องการซื้อห้องชุดยังคงเป็นจังหวัดหลักและจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และ กลุ่มผู้ซื้อจีน และ รัสเซีย เป็นกลุ่มผู้ซื้อที่สำคัญในประเทศ นอกจากนี้สหรัฐอเมริกา ประเทศแถบยุโรป เพื่อนบ้าน เป็นอีกกลุ่มที่นิยมซื้อห้องชุดในไทย สอดคล้องกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว การที่รัฐบาลออกมาตรการ วีซ่าฟรีชั่วคราวให้กับนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน นับเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยสร้างโอกาสในการซื้อห้องชุดของคนต่างชาติทุกกลุ่มเพิ่มมากขึ้นได้” นายวิชัยกล่าว