บสส. หนุนมาตรการรัฐแก้หนี้ผ่าน คลินิกแก้หนี้ ชี้สางหนี้เสียไปแล้วกว่า 10,000 ล้าน
นายอุดม พลสมบัตินันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) หรือ บสส. เปิดเผยว่า จากการดำเนินการโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ข้อมูลล่าสุด ณ เดือน พฤศจิกายน 2566 พบว่าจำนวนลูกค้าตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการโครงการมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 51,319 ราย คิดเป็น 145,681 บัญชี และมีภาระหนี้รวมประมาณ 10,084 ล้านบาท
หากคิดเฉพาะปี 2566 จำนวนผู้สนใจสมัครและผ่านคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมโครงการ 16,919 ราย หรือคิดเป็น 43,034 บัญชี โดยมีค่าเฉลี่ยมีหนี้เงินต้นคงเหลือประมาณ 197,000 บาทต่อราย คิดเป็นจำนวนบัญชีที่เป็นหนี้เฉลี่ย 2.8 บัญชีต่อราย ค่างวดต่อรายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2,400 บาทต่อเดือน
นายอุดม กล่าวว่า ที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ช่วยเหลือคนที่เป็นหนี้เสียให้กลับมาเริ่มต้นแก้ไขปัญหาหนี้อีกครั้งในจำนวนที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับยอดสิ้นปี 2565 มีจำนวนประมาณ 30,400 ราย เรียกว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ คาดหมายว่า ณ สิ้นปีนี้จะมีจำนวนลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ตามเป้าหมายที่ 50,000 บัญชี ส่วนเป้าหมายปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า ปี 2566 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ระดับที่น่าเป็นห่วง ทางรัฐบาลได้ออกแนวทางให้ความช่วยเหลือหลายกลุ่ม ซึ่งน่าจะทำให้คนที่เริ่มประสบปัญหาด้านหนี้ มีทางออกและแก้ไขหนี้ได้
“หลังจากภาครัฐบาลหยิบยกเรื่องการแก้หนี้เป็นวาระแห่งชาติ ทางโครงการคลินิกแก้หนี้นับเป็นส่วนหนึ่งในการมาตรการต่างๆ ในการปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และเริ่มทยอยมีผู้สนใจสอบถามเกี่ยวกับโครงการมากขึ้น ซึ่งโครงการมีช่องทางสอบถามหลายช่องทาง ทั้งทางเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ LineOA @debtclinicbysam หรือ โทร 1443” นายอุดม กล่าว
นายอุดม กล่าวว่า แนะนำลูกหนี้แก้ปัญหาหนี้เสียเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหนี้เสียนั้น การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกคนล้วนต้องมีหนี้ แต่ขอให้มีหนี้ที่จำเป็นจริงๆ อย่าเป็นหนี้เพียงเพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่สำคัญขอให้ระลึกไว้เสมอว่าการกู้เงินจากสถาบันการเงินก็เปรียบเสมือนการไปหยิบยืมเงินเพื่อน เพราะสถาบันการเงินก็นำเงินที่ลูกค้าคนอื่นฝากไว้มาให้เรายืม เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนสร้างหนี้ก็ต้องรับผิดชอบ
ดังนั้น ถ้าต้องมีหนี้มากก็ต้องหารายได้เพิ่มให้เพียงพอกับการสร้างหนี้ เรียกว่ารายได้เพียงพอกับรายจ่าย ชีวิตไม่ติดลบ หากทำได้ตามที่แนะนำจะปลอดจากปัญหาหนี้เสียแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่ไม่น้อยไปกว่าการสร้างหนี้ คือ เมื่ออยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ควรผ่อนชำระให้สำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนดเพื่อให้สามารถปลดหนี้ได้ ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายคนที่เข้าร่วมโครงการแล้ว สามารถชำระหนี้ปิดบัญชีก่อนเวลาที่กำหนดทั้งหมดขึ้นอยู่กับวินัย ซึ่งต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น ในระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ควรสร้างภาระหนี้เพิ่ม เพราะอาจจะกระทบต่อการปรับโครงสร้างหนี้ได้
“ส่วนข้อเสนอในแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เป็นวาระแห่งชาติถือเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ รวมทั้งการเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน เพื่อให้การแก้ไขหนี้ทำได้สำเร็จ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้นอีกในอนาคต การให้ความรู้อาจต้องใช้เวลาในการสร้าง แต่จะเป็นหนทางที่ถูกต้องและสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคมต่อไป” นายอุดมกล่าว