ลุ้นกกพ.เคาะค่าไฟสัปดาห์หน้า รอปตท.-กฟผ. สรุปต้นทุน คาด 4.15-4.19 บาท
รายงานข่าวแจ้งว่า สัปดาห์หน้า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะพิจารณาเคาะค่าไฟงวดแรกของปี 2567(มกราคม-เมษายน) ใหม่ และประกาศใช้ตามกฎหมายมีผลเดือนมกราคม 2567 หลังเคยประกาศไว้ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย โดยกรอบราคาใหม่จะไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่สั่งให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รับภาระเงินคงค้างสะสม (เอเอฟ) สำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 แทนประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าไปพลางก่อน 25 สตางค์ต่อหน่วย ประมาณ 15,000 ล้านบาท พร้อมมีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติตามข้อเสนอของกกพ. และมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ซึ่งการปรับโครงสร้างก๊าซฯ จะทำให้ราคาก๊าซเฉลี่ยจากทุกแหล่งสัดส่วน 70% เท่ากัน อีก 30% บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะกันไว้สำหรับผลิตก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพื่อไม่ให้ต้นทุนแอลพีจีขยับขึ้นจากปัจจุบันที่มีการอุดหนุนใช้ก๊าซผลิตราคาถูก
นอกจากนี้ ปตท. จะมีการนำเงินค่าปรับก๊าซธรรมชาติ จำนวน 4,300 ล้านบาท จากการขาดส่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของผู้ผลิต (Shortfall) คือ เชฟรอน ในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 มาช่วยลดราคาก๊าซธรรมชาติในรอบนี้ด้วย ขณะเดียวกัน จะมีการทบทวนสมมุติฐานปริมาณและราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด จากนั้นจะส่งราคาให้กฟผ.พิจารณาค่าไฟและส่งให้กกพ.พิจารณา
สำหรับอัตราค่าไฟสุดท้าย คาดว่าจะอยู่ระดับ 4.15-4.19 บาทต่อหน่วย คงไม่สามารถลดลงไปถึง 4.10 บาทต่อหน่วยได้ จากปัจจัยที่นำมาประกอบการพิจารณา ประกอบกับหากสมมติฐานต้นทุนที่ต่ำเกินไป แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างสงคราม หรือปัจจัยลยอื่น อาจทำให้การคำนวณต้นทุนผิดพลาด ต้องมาขึ้นค่าไฟย้อนหลังอัตราสูง จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากกว่า
กรณี เงิน Shortfall กระทบต่อหุ้นปตท.นั้น เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าปรับการขาดส่งก๊าซฯ ซึ่งก๊าซฯที่หายไปทำให้ไทยต้องนำเข้า ก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่มีราคาแพงกว่าก๊าซอ่าวไทย ทำให้ต้นทุนค่าไฟช่วงนั้นๆแพงขึ้น เงิน Shortfall จึงควรนำมาช่วยคนไทยถือว่าถูกต้องแล้ว
