เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง ชี้ปี‘67 ยุคดอกขาลง คาดเฟดลดดอก 1% แนะกลยุทธ์ลงทุนรับผลตอบแทนอื้อ
เมื่อวันที่ 12 มกราคม มร. โฮมิน ลี ซีเนียร์ เอเชีย มาโคร สตราตีจิส ลอมบาร์ด โอเดียร์ สิงคโปร์ กล่าวว่า ปี 2567 ภาพเศรษฐกิจค่อนข้างดีกับประเทศไทย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง โดยกรณีพื้นฐานสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือภาวะเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวช้าลง (ซอฟต์แลนดิ้ง) แต่เงินเฟ้อจะปรับลดลงเร็ว โดยที่ไม่ทำให้ตลาดแรงงานมีปัญหา ประเมินอัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้พุ่งขึ้นรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นแนวทางที่เศรษฐกิจขยายตัว และยังไม่เกิดการถดถอย ซึ่งมุมมองเรื่องเงินเฟ้อลดลงตามคาดการณ์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยได้
กรณีฐานที่คาดการณ์จากปี 2566 มีการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดแล้ว และปี 2567 จะเป็นปีแห่งการลดดอกเบี้ย คาดการณ์เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 จำนวน 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% คิดเป็นสัดส่วนราว 1% ทำให้อัตราดอดเบี้ยลดลงจาก 5.5% สู่ระดับ 4.5% และปี 2568 คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ทำให้ภายใน 2 ปีนี้ อัตราดอกเบี้ยจะจบลงที่ 3.5%
อย่างไรก็ตาม มองว่าประชาชนสหรัฐที่ยังมีเงินในกระเป๋าและพร้อมใช้จ่ายสูง มีโอกาสทำให้เงินเฟ้อที่มองว่าลดลงสามารถขยายตัวสูงขึ้น หากเกิดกรณีนี้ขึ้น แยกเป็น 2 มุมมอง คือเฟดจะปล่อยให้เงินเฟ้อเพิ่มได้และมีการทยอยปรับดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่สูงมากนัก และ 2.กรณีที่ไม่อยากให้เกิดและเป็นอันตรายคือเงินเฟ้อพุ่งตัวสูงขึ้นจากการใช้จ่ายของประชาชน และเฟดจะจัดการเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ทำให้ภาพที่วางไว้เปลี่ยนไป ส่งผลให้เศรษฐกิจได้รับแรงกระแทกมากขึ้น
“โดยปกติธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง จะมีการลดดอกเบี้ยเร็วและลึก แต่หากตามสมมุติฐานถ้าเฟดลดดอกเบี้ยจาก 5.5% มาอยู่ที่ 3.5% ก็เป็นการลดดอกเบี้ยที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อสำเร็จ ซึ่งไม่ใช่การลดดอกเบี้ยหลักจากเกิดเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะลดลงได้ไม่เยอะ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา“ มร.โฮมินกล่าว
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ เอ็กเซ็กคูทีฟ แชร์แมน ไพรเวท แบงกิ้ง กรุ๊ป ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ปี 2567 แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกประมาณ 50-70% ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลัก โดยเลือกกองทุนผสมแบบตรวจสอบตามแนวความเสี่ยง (Risk-based Approach) ที่กระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวนที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารเชิงรุกในการจัดสรรสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง เช่น กองทุน All Roads Series
ส่วนที่ 2 ประมาณ 30-50% เป็นพอร์ตเสริม โดยแบ่งการลงทุนในตราสารหนี้ เช่น 1.พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GDBOND และ TUSBOND
2.หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ให้เน้นลงทุนใน หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตระดับลงทุนได้ ซึ่งรวมถึงตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้แปลงสภาพโดยมีเงื่อนไข ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และให้ผลตอบแทนน่าสนใจ สำหรับหุ้นกู้กลุ่มหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง (High Yield) อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหลังต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน UPINCM-N
3.หุ้น เช่น หุ้นกลุ่มเติบโตทั่วโลก แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-CHANGE หุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) นอกจากจะได้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้า หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-INDIA
4.การลงทุนทางเลือก เช่น กลยุทธ์เฮดจ์ฟันด์ เช่น กลยุทธ์มหภาค (และเทรดตามแนวโน้ม) ช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยง จากความสามารถในการใช้หลากหลาย แนะนำให้ลงทุนในกองทุน ASP-LEGACY-UI และ LHMCMULTIUI และกลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก ลงทุนในสกุลเงินหลักที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น จากปัจจัยด้านพื้นฐาน เช่น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อดุลการชำระเงิน รวมทั้งกระแสเงินไหลเข้า-ออก โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน DAOL-FXALPHA-UI
“จากนี้ไปแม้เศรษฐกิจจะมีการเติบโต แต่ก็มีความเสี่ยงสูง ซึ่งการบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสิ่งที่อยากแนะนำนักลงทุนคือกองทุน All Roads Series ที่เป็นกองทุนผสม ซึ่งเราแนะนำให้ลูกค้าถือ 50% ขึ้นไป จะเห็นว่าคำแนะนำนี้ประสบความสำเร็จและจัดการความเสี่ยง และเป็นความร่วมมือกับลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่นำกองนี้เข้ามาแนะนำลูกค้า“ นายจิรวัฒน์กล่าว