เร่งเครื่องเหมาลำบินเที่ยวไทย หลังงบล่าช้าทำเสียโอกาสคว้าต่างชาติ 1.5 ล้านคน
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า แผนการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งเป้าหมายการทำงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างรายได้ 3 ล้านล้านบาท และเป้าหมายท้าทายของรัฐบาล ในการสร้างรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท รวมจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกับตลาดไทยเที่ยวไทย โดยการทำตลาดผ่านการใช้งบประมาณต่อจากนี้ จะต้องประเมินความสำคัญ ทำให้การโฆษณาประชาสัมพันธ์อาจชะลอไว้ก่อน แต่มาเน้นการทำจ้อยโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินแทน เพื่อดึงเช่าเหมาลำหรือชาเตอร์ไฟล์ในรูปแบบมาเก็ตติ้งแอนเซล โดยให้ผู้ประกอบการจ่าย 60% และภาครัฐอุดหนุนอีก 40% ซึ่งจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวขยับขึ้น และต้องทำให้ทันวินเทอร์ที่จะมาถึงด้วย ซึ่งจะมีแรงกระเพื่อมมากสุดในกลุ่มตลาดเมืองหนาวทั้งเกาหลีใต้ รัสเซีย คาซัคสถาน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเริ่มเดินทางช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคมของทุกปี ที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) เป็นโอกาสทองของท่องเที่ยวไทยด้วย
ปี 2566 ที่ผ่านมา ชาเตอร์ไฟลท์ยังดึงกลับมาได้ไม่มาเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่ยังมาไม่ทันในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหลายๆ ตลาด อาทิ รัสเซีย เกาหลีใต้ ทำให้มีเครื่องบินเช่าเหมาลำเข้ามาไทยน้อยเกินไป จากที่ควรจะเป็น โดยหากทำเครื่องบินเช่าเหมาลำทันช่วงปลายปีที่ผ่านมา จะทำให้มีนักท่องเที่ยวในภาพรวม ทั้งตลาด จีนรัสเซีย คาซัคสถาน มาเติมได้อีก 1.5 ล้านคน แต่เพราะความล่าช้าของงบประมาณปี 2567 ทำให้ขาดโอกาสไป โดยในปี 2567 นี้ จะใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำเข้าไปเจาะตลาดที่ไม่มีเที่ยวบินตรงเข้ามาไทย อาทิ รัสเซีย และคาซัคสถานที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าไทย หรือการยกเว้นการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย (วีซ่าฟรี) เพราะมองเห็นโอกาสที่จะสามารถเร่งตลาดได้มากกว่าขึ้น ติดเพียงยังไม่มีเที่ยวบินตรงเข้ามาไทย
สิ่งที่ยังทำได้ไม่เต็มที่คือชาเตอร์ไฟลท์จากจีนเข้ามาไทย และการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง เน้นส่งเสริมให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2567 กระทรวงฯ จะนำเมืองรอง 10 เมือง ได้แก่ แพร่ ลำปางนครสวรรค์ นครพนม ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช และตรัง ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่จะไปเสนอขายในตลาดต่างประเทศรวมถึงจีน เพื่อกระจายกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักไปสู่เมืองรอง และการทำตลาดจะเป็นหน้าที่ของททท. ต่อไป
สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่วางไว้ 8 ล้านคน ของปีนี้มาจากการคำนวณสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยในช่วงที่ผ่านของจำนวนนักท่องเที่ยว 100% คิดเป็นสัดส่วนจีน 35% และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของตลาดตจีนปัจจุบันอยู่ที่46,000 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งตลอดทั้งปีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอาจถึง 50,000 บาทต่อคนต่อทริปก็ได้ จึงมีการประมาณการณ์รายได้ของตลาดจีนไว้ที่ 3 – 3.5 แสนล้านบาท จากจำนวนนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทย 8 ล้านคน
ทั้งนี้ คาดว่าตลอดปี 2567 นี้ นักท่องเที่ยว 5 ดันดับแรกที่จะเดินทางไทยมากสุด จีนยังคงเป็นอันดับแรก คาดว่าจะถึง8 ล้านคน มาเลเซียคาดว่าจะมีจำนวน 5.5 – 6 ล้านคน จากปี 2566 ที่ได้ 4.2 ล้านคน อินเดียคาดว่าจะมีจำนวน 2.5 ล้านคน ขึ้นอยู่กับเที่ยวบินเป็นสำคัญ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกัน ส่วนรัสเซียคาดว่าจะถึง 2 ล้านคน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัสเซียมีแนวโน้มจะถึง หากมีการทำการตลาดดีๆ เพิ่มชาเตอร์ไฟลท์ หลังมีมาตรการวีซ่าฟรีอยู่แล้ว และเกาหลีใต้ก็มีโอกาสถึง 2 ล้านได้เช่นกัน
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบสัญญานการหนีร้อนมาพึ่งเย็นของนักท่องเที่ยวระยะไกล ทั้งจากยุโรป สแกนดิเนเวีย และอเมริกา หลังจากโลกเกิดคลื่นความร้อน ทำให้นักท่องเที่ยวระยะไกลพาครอบครัวมาพักผ่อนเมืองไทย เห็นได้ชัดเจนว่ายอดของนักท่องเที่ยวระยะไกล เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงปิดเทอม หรือซัมเมอร์ของตลาดนั้น (กรกฎาคม–สิงหาคม) จึงเตรียมหารือกับตลาดเหล่านั้นเพื่อหามาตรการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเช้าไทยในปี 2567 เพื่อกระตุ้นเป้าหมายรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่รัฐบาลตั้งไว้ 2.3 ล้านล้านบาท จากเดิมตามแผนงาน ททท ที่ตั้งไว้ 1.92 ล้านล้านบาท จึงจำเป็นต้องขอให้รัฐบาลขยายมาตรการวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวเพิ่มในประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพออกไปถึงสิ้นปี 2567