SCB CIO คาดตลาดหุ้นไต้หวันปรับขึ้นตามภูมิภาค แม้มีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ จับตาหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์รับอานิสงส์นโยบายขับเคลื่อนศก.พร้อมประคองดัชนี
SCB CIO วิเคราะห์ผลเลือกตั้งหลัง นายไล่ ชิงเต๋อ พรรคหมินจิ้นตั๋ง ได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีไต้หวันคนถัดไปแม้การผลักดันนโยบายและกฎหมายไม่ง่าย จากการที่ไม่ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งในสภานิติบัญญัติ ขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อาจเพิ่มขึ้น แต่โอกาสไปสู่สงครามยังมีน้อย มองหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ AI กลุ่มเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พลังงานสีเขียว และกลุ่มสุขภาพ จะได้รับอานิสงส์สูงสุด จากนโยบายเน้นการขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ คาดตลาดหุ้นไต้หวันปี 2567 จะปรับขึ้นใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโซนเอเชีย แม้มูลค่าหุ้นยังตึงตัว และเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ผลประกอบการตลาดหุ้นไต้หวันมีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีในปี 2567 และ 2568 โดยมีกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ช่วยประคองดัชนี ส่วนตลาดหุ้น A-Share และ H-Share แม้มูลค่าถูกลงมากแต่ยังเผชิญแรงกดดัน แนะถือต่อ หากมีอยู่ในพอร์ต แต่ไม่แนะนำให้สะสมหุ้นจีนเพิ่มในเวลานี้
เมื่อวันที่ 23 มกราคม ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2567 นายไล่ ชิงเต๋อ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคหมินจิ้นตั๋ง หรือ DPP ได้คะแนนเสียงมากที่สุด 40.1% ได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีไต้หวันคนถัดไปที่จะรับตำแหน่งต่อจากนางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ผลการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 57 ที่นั่ง โดยพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ได้ที่นั่งมากที่สุด 52 ที่นั่ง ส่วน DPP ได้ 51 ที่นั่ง และพรรคไถวันหมินจ้งตั่ง (TPP) ได้ 8 ที่นั่ง จะทำให้การผลักดันนโยบายและกฎหมายต่างๆ ของพรรค DPP และนายไล่ชิงเต๋อ อาจเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น
ทั้งนี้ SCB CIO วิเคราะห์นโยบายมหภาคสำคัญที่พรรค DPP เสนอ ว่าที่ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ เน้นการขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น นโยบายสำคัญ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ เน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ด้านอสังหาริมทรัพย์และนโยบายทางสังคม จะปรับขึ้นภาษีอสังหาฯ ที่ถูกปล่อยว่าง แล้วสนับสนุนการซื้ออสังหาฯ ครั้งแรก พร้อมส่งเสริมที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม ด้านพลังงาน เน้นเพิ่มอุปทานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ ด้านนโยบายการป้องกันประเทศ คงนโยบายช่องแคบไต้หวัน รักษาการติดต่อกับผู้นำจีน ซึ่งคาดว่า การใช้จ่ายป้องกันประเทศ คิดเป็น 2.5% ของ GDP ในปี 2567 และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ นายไล่ ชิงเต๋อ ตั้งเป้าหมาย GDP ปี 2567 เติบโตไม่ต่ำกว่า 3.5% โดย SCB CIO คาดว่า GDP ไต้หวันปี 2567 จะขยายตัวดีกว่า ปี 2566 ที่ผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ (Consensus) คาดไว้ที่ 1.1% ด้วยแรงหนุนการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ส่วนด้านธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) เรามองว่า มีแนวโน้มคงนโยบายการเงินตึงตัวเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ส่วนนโยบายการคลัง คาดว่า รัฐบาลยังมีแนวโน้มผ่อนคลายทางการคลังต่อไป
“ เรามองว่า ชัยชนะของพรรค DPP ครั้งนี้ อาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างไต้หวันและจีน มีโอกาสสูงขึ้น แต่ยังมีโอกาสต่ำมากที่จะยกระดับสู่สงคราม เนื่องจาก นายไล่ ชิงเต๋อ ต้องการแลกเปลี่ยนพูดคุยกับจีนมากขึ้น พร้อมย้ำเรื่องการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ สหรัฐฯ ก็ประกาศตัวไม่ได้สนับสนุนการเป็นเอกราชของไต้หวัน ช่วยลดความกังวลของจีนลง อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาใกล้ชิดว่าจีนจะออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับไต้หวัน หรือซ้อมรบใกล้ช่องแคบไต้หวันหรือไม่ โดยเราคาดว่าจีนจะเลือกตอบโต้ทางการค้ามากกว่า” ดร.กำพล กล่าว
สำหรับกรณีเลวร้ายสุดที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำมาก คือ การเกิดสงครามบริเวณช่องแคบไต้หวัน ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤตร้ายแรงห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลกหยุดชะงัก เกิดผลลบจากความเสี่ยงการเงิน และการค้า โดย Bloomberg คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจไต้หวันจะรับผลลบมากที่สุด กระทบ GDP ปีแรกที่เกิดสงครามสูงถึง 40.0% ตามด้วย เกาหลีใต้, ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน ซึ่งกระทบต่อ GDP ปีแรกที่เกิดสงคราม 23.3%, 20.1% และ 16.7% ตามลำดับ
ดร. กำพล กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งนโยบายของพรรค DPP เรามองว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ AI กลุ่มเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พลังงานสีเขียว และกลุ่มสุขภาพ จะได้รับอานิสงส์สูงสุด นำโดยเซมิคอนดักเตอร์ที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากบนดัชนีหุ้นไต้หวัน (TWSE) ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไต้หวัน TWSE ปัจจุบัน มีหุ้นในดัชนีฯ ทั้งหมด 980 หุ้น โดยมีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ มีน้ำหนักในดัชนีฯ อยู่ที่ 38% และเมื่อรวมกับกลุ่มอุตสาหกรรมปลายน้ำทำให้น้ำหนักรวม คิดเป็นกว่า 50% ของดัชนีฯ ขณะที่ หุ้นที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากในดัชนีฯ คือ หุ้น TSMC ซึ่งมีน้ำหนักในดัชนีฯ ถึง 27% สำหรับสัดส่วนการถือครองของต่างชาติ (Foreign Ownership) ในตลาดหุ้นไต้หวัน ล่าสุด อยู่ที่ 38% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไต้หวันยังถือเป็นตลาดที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมในตลาด (market participation) ค่อนข้างมาก โดยนักลงทุนรายย่อยคิดเป็นราย 60% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาด (turnover)
SCB CIO คาดว่า ตลาดหุ้นไต้หวันปี 2567 จะปรับขึ้นใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโซนเอเชีย โดยแม้ว่าตลาดหุ้นไต้หวัน มูลค่าหุ้น (Valuation) ยังตึงตัวอยู่ ทั้งยังเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ช่องแคบไต้หวันสูงขึ้น และธนาคารกลางไต้หวันยังไม่รีบลดดอกบี้ย แต่ผลประกอบการตลาดหุ้นไต้หวันมีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีในปี 2567 และ 2568 โดยมีกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ช่วยประคองดัชนี
ส่วนตลาดหุ้นจีนทั้ง A-Share และ H-Share เรามองว่า ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันจะซ้ำเติม Valuation ดัชนีหุ้นจีนที่แม้ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ยังต้องติดตามประเด็นพัฒนาการเชิงบวกเพิ่มเติมจากความพยายามออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของทางการเพื่อเยียวยาภาคอสังหาฯ กับบรรเทาความเสี่ยงเงินฝืด และภาวะแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ทั้งบนช่องแคบไต้หวัน และบนข้อพิพาทเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลัก เราจึงยังคงมุมมอง Neutral (ถือ) สำหรับผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว และยังไม่แนะนำให้สะสมหุ้นจีนเพิ่มในเวลานี้