‘ธรรมนัส’ เดินหน้าเพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย ดันภาคเกษตรเติบโตรับปีมังกรทอง
เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 24 มกราคม ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ มติชนจัดงานสัมมนา “Thailand 2024 : The Great Challenges เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ “เพิ่มมูลค่าเพื่อเกษตรกรไทย 2567” ว่า สำหรับหัวข้อสำคัญที่จะมาบรรยายในครั้งนี้ ปีมังกรทอง เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขนาดโอกาสภาคการเกษตร ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะเป็นกระทรวงฯ ที่ต้องดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ประกอบอาชีพภาคการเกษตร หรือประมาณ 31 ล้านคน และมีแรงงานที่อยู่ในภาคเกษตรอีกประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งรวมเป็นจำนวนกว่า 50 ล้านคน ที่กระทรวงฯ ต้องดูแล
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นทุกนโยบายที่กระทรวงฯ ขับเคลื่อนจึงเป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และประชาชน เช่นเดียวกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารงานว่าจะเพิ่มรายได้เป็น 3 เท่า ภายใน 4 ปีหลังจากนี้ ดังนั้น จึงถือเป็นภารกิจที่ท้าทายเพราะกระทรวงเกษตรฯ เป็นกระทรวงที่ต้องดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศ และถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่อยู่บนบ่าตน และรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรฯ ทั้ง 2 คน ซึ่งที่ผ่านมา เมื่อเราดูการเติบโตของเศรษฐกิจภาคการเกษตร (จีดีพีเกษตร) พบว่าเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา จีดีพีเกษตร ขยายตัวเพียง 0.3% ซึ่งต่ำมากหากเทียบกับปี 2561 ที่เติบโตอยู่ที่ 6.1%
“จากการลดลงของจีดีพีภาคเกษตร ผมใช้เวลาทำการบ้านอยู่ 4 เดือน ว่าเกิดจากเหตุผลใดจึงทำให้เมื่อปี 2566 จีดีพีเกษตรจึงเติบโตแค่นั้น ซึ่งพบว่าไม่เพียงแต่ประเทศไทยที่ประสบปัญหา ประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศก็ประสบปัญหาด้านการเกษตรเช่นเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่รายได้ภาคการเกษตรลดฮวบ จากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ไม่ดี ส่งผลให้ต้องกลับมาคิดราคาต้นทุนพลังงานภาคเกษตรเทียบเท่ากับภาคอื่นๆ เป็นผลให้รายได้ของเกษตรกร และผลผลิตลดลง ส่วนไทยก็มีปัญหาเรื่องความแปรปรวนของสภาพอากาศจึงส่งผลให้ผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาด แม้การสั่งซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะมีเพิ่มขึ้นก็ตาม” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ดังนั้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญ เราต้องทำให้ปีนี้ต้องเป็นปีมังกรของพี่น้องเกษตรกรให้ได้ เพราะถ้าหากยังเดินหน้าส่งผลภาคการเกษตรแบบเดิม รายได้เกษตรกรก็จะเป็นอย่างที่เราเห็น คือรายได้ยังย่ำอยู่ที่เดิม กระทรวงเกษตรฯ ยุคนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่นโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เนื่องจากตอนนี้ไทยกำลังเผชิญกับสังคมสูงวัย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคการเกษตร กระทรวงฯ จึงต้องการเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อมาทดแทนในส่วนนี้ ซึ่งจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิจัยและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ด้านการเกษตรต่อไป
“ทุกวันนี้กติกาการแข่งขันการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น ประเทศไหนที่มีความเข้มแข็ง แข็งแรง ประเทศนัั้นก็จะได้เปรียบ ส่วนความเข้มแข็งของไทยดูได้จากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าไทยยังมีช่องโหว่ และเป็นเหตุให้เราเสียเปรียบทุกเรื่อง ไทยขาดดุลทางการค้ากับประเทศมหาอำนาจเกือบทุกประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันหากต้องมีการเซ็นสัญญาทางการค้า และมีเรื่องการนำเข้าสินค้าเพื่อการเกษตรเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมจะคัดค้านทุกครั้ง เนื่องจากเราเป็นเมืองการผลิต ไม่ควรนำเข้าสินค้าที่เรามีอยู่แล้วมาทำให้กลไกรายได้เสีย และส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เดินหน้าปราบสินค้าเถื่อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของตนที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งว่า ขอประกาศเป็นศัตรูกับสินค้าเถื่อน นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มความเข้มงวดของด่านปศุสัตว์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายอีกด้วย แม้ตอนนี้งานบางส่วนจะมอบหมายให้หน่วยงานเฉพาะกิจพญานาคราชดูแลแล้ว แต่กระทรวงเกษตรฯ ยังคงเดินหน้าปราบสินค้าเถื่อนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องการปราบสินค้าเถื่อนเพื่อปิดช่องโหว่ในการทำการค้ากับประเทศอื่นๆ แล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เดินหน้าสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ผ่านนโยบายเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตร ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 เดือน ปัจจุบันสามารถทยอยแจกให้กับเกษตรกรตามสิทธิได้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะภาคการเกษตรเดินหน้าต่อไปได้ เราจะเปิดรับฟังความคิดเห็นภาคประชาชน เอกชน และสื่อมวลชน เพื่อให้เกิดกการมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองไปด้วยกันต่อไป