MFC คาดบาทแข็งค่า หลังเฟดส่งสัญญาณไม่ขึ้นดบ. จ่อขายไอพีโอกองทุน M-USTBILL ชูผลตอบแทนสูงรอบ 20 ปี

MFC เตรียมขายไอพีโอกองทุน M-USTBILL ชูผลตอบแทนสูงรอบ 20 ปี คาดบาทแข็งค่า หลังเฟดส่งสัญญาณไม่ขึ้นดบ.

เมื่อวันที่ 31 มกราคม นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนในปี 2567 และเป็นจังหวะเข้าลงทุนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา จากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ล่าสุด ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50% และมีแนวโน้มจะรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ ทำให้ความผันผวนของราคาน้อยลง อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทย มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกว้างมากที่สุดและคาดว่าจะยังคงอยู่ต่อไปอีก 12–24 เดือน

บลจ.เอ็มเอฟซี พร้อมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ยูเอส เทรเชอรี่ บิล (M-USTBILL) โดยกองทุน M-USTBILL มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) หรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี โดยมีอัตราส่วนการลงทุนรวมกันทุกขณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนมีการลงทุนที่ส่งผลให้มี Net Exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

“จุดเด่นของกองทุน M-USTBILL ซึ่งมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะออกและรับรองโดยรัฐบาลสหรัฐจึงมีโอกาสต่ำมาก ในการผิดนัดชำระหนี้ อีกทั้งยังได้รับอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร (Moody’s AAA, S&P AA+ และ Fitch AA+) นอกจากนี้ผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต จึงมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหลังจากที่ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” นายธนโชติ กล่าวและว่ากองทุน M-USTBILL เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาประมาณ 6 เดือนขึ้นไปและผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงและมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งสามารถนำไปจัดพอร์ตการลงทุนของตัวเองได้

Advertisement

นายธนโชติ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนสามารถจองซื้อขั้นต่ำครั้งแรกและครั้งถัดไปเพียง 1,000 บาท โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 2-7 ก.พ 67 ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก ผู้ลงทุนสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 สาขาแจ้งวัฒนะ โทร. 0-2835-3055-57 สาขาปิ่นเกล้า โทร. 0-2014-3150-2 สาขาขอนแก่น โทร. 043-204-014-16 สาขาเชียงใหม่ โทร. 0-5321-8480-82 สาขาระยอง โทร. 033-100-340 สาขาหาดใหญ่ โทร. 074-232-324 – 25 หรือที่ www.mfcfund.com

นายธนโชติกล่าวว่า สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในปี 2567 มองว่ามีแนวโน้มแข็งค่า จากการที่ Fed ส่งสัญญาณจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม หลังจากเศรษฐกิจโดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลง ซึ่งหาก Fed ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงหรือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย Fed อาจจำเป็นต้องลดอัตรานโยบายลงบางส่วน คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 อย่างไรก็ตาม หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก่อนสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกับนโยบายการคลังของรัฐบาลจะทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าได้เช่นกัน

นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่ม เช่น ภัยแล้ง ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของภาคการเกษตรและค่าครองชีพประชาชนทั่วไป อาจทำให้ธปท. ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสงครามที่อาจทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นแนวทางการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนจะดำเนินการตามปัจจัยทางพื้นฐาน ประกอบกับปัจจัยของการเคลื่อนไหวของค่าเงิน โดยจะลดการป้องกันความเสี่ยงเมื่อค่าเงินบาทมีปัจจัยทั้งสองส่วนประกอบกันไปในทิศทางที่อ่อนค่าและเพิ่มการป้องกันความเสี่ยงเมื่อค่าเงินบาทมีปัจจัยทั้งสองส่วนประกอบกันไปในทิศทางที่แข็งค่า

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image