แบงก์ชาติ รับอาจหั่นจีดีพีปี66 ลงจาก 2.4% หลังส่งออกติดลบ-ภาคผลิตโตต่ำ ฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว

แบงก์ชาติ รับอาจหั่นจีดีพีปี 66 ลงจาก 2.4% หลังส่งออกติดลบ-ภาคผลิตโตต่ำ ฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว

เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธปท. กล่าวว่า จากเศรษฐกิจมีปัญหาเชิงโครงสร้างและทิศทางเศรษฐกิจภาพรวมเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะเรื่องการส่งออกยังติดลบ และภาคการผลิตที่มีการทยอยลดสินค้าคงคลังลง ซึ่งจะส่งผลให้การคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะมีการปรับประมาณการใหม่หรือไม่ จากที่เคยคาดการณ์ว่าจีดีพีปี 2566 จะขยายตัวที่ 2.4% แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะปรับลดลงไปต่ำกว่า 2% หรือไม่ เนื่องจากต้องรอการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณานัดแรกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 รวมถึงการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย

น.ส.ชญาวดีกล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจวิกฤตหรือไม่นั้น นักเศรษฐศาสตร์ใช้เป็นการมองเศรษฐกิจภาพรวม ดังนั้น ตัวชี้วัดที่ใช้ต้องมาจากภาพรวม เช่น การเติบโตของจีดีพีว่าหดตัวรุนแรงหรือไม่ เงินทุนไหลเข้าหรือไหลออกอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าวิกฤตนั้นเป็นวิกฤตแบบใด จากการมองภาพรวม ธปท.เห็นว่าเศรษฐกิจไม่ได้โตช้ามาก หรือเจออะไรที่ทำให้สะดุด แต่ถ้ามองภาพย่อยลงมาเป็นรายคน หรือรายธุรกิจจะเห็นความเดือดร้อนที่ยังมีอยู่ ซึ่ง ธปท. เห็นข้อมูลและรับฟังถึงความเดือดร้อน ดังนั้น คำว่าวิกฤตต้องดูก่อนว่าไปวัดหรือไปใช้ที่ตรงไหน

“การปรับจีดีพีภายหลังจากกระทรวงการคลังปรับจีดีพีปี 2566 อยู่ที่ 1.8% และปี 2567 อยู่ที่ 2.8% โดยข้อมูลเศรษฐกิจของ ธปท.นั้นจากข้อมูลเครื่องชี้ที่ไม่แตกต่างกันมาก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ชัดเจนต้องรอการทบทวนของ กนง.ได้พิจารณาก่อน คาดว่าตัวเลขจะอยู่ใกล้ๆ กัน หรืออาจจะต่ำกว่าที่คาดการณ์” น.ส.ชญาวดีกล่าว

ติดตามการเมืองใกล้ชิด
“จากสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจจะมีการยุบพรรคเกิดขึ้นนั้น หากมองย้อนหลังในช่วงที่มีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น แต่ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยดำเนินการได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากจากการใช้จ่ายยังมีอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังบอกไม่ได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร รวมถึงพัฒนาการของเศรษฐกิจด้วย ซึ่ง ธปท.จะติดตามต่อเนื่อง” น.ส.ชญาวดีกล่าว

ADVERTISMENT

ศก.ไตรมาส 4/66 โตช้า
น.ส.ชญาวดีกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2566 ชะลอตัวลงจากช่วงก่อนหน้า โดยภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรม การขยายตัวลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 4.3% การส่งออกหดตัวจากไตรมาสก่อนที่ 1% สาเหตุหลักมาจากอุปสงค์การส่งออกสินค้าโลกฟื้นตัวช้า ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 1.5% ซึ่งลดลงจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงหมวดก่อสร้าง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเบิกจ่ายลงทุนภาครัฐบาลที่ล่าช้า

น.ส.ชญาวดีกล่าวว่า ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 1.2% รวมถึงภาคบริการยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยว โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งปี 2566 นักท่องเที่ยวมีจำนวน 28.2 ล้านคน และดูเป็นไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 8.1 ล้านคน ขณะที่รายรับทั้งไตรมาสเทียบไตรมาสก่อนชะลอตัวลง แม้นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอาจเป็นเพราะวันหยุดลดลง

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐบาลนับเป็นไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2567 ภาพรวมปรับลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลักๆ มาจากรายจ่ายด้านการลงทุนเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลมีการเบิกจ่ายที่ล่าช้าออกไปตามการพิจารณาเงินงบประมาณที่ยังไม่แล้วเสร็จ

“อัตราเงินเฟ้อทั่วไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ติดลบ 0.53% ขณะที่รายเดือนธันวาคม 2566 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ติดลบ 0.83% ลดลงจากเดือนก่อนที่ติดลบ 0.44% ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำส่วนหนึ่งมาจากผลของมาตรการภาครัฐบาล หากไม่มีมาตรการภาครัฐอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ติดลบ 0.61% ขณะที่รายเดือนธันวาคม 2566 เงินเฟ้อพื้นฐานติดลบ 0.58% ทรงตัวจากเดือนก่อน” น.ส.ชญาวดีกล่าว

ชี้เสถียรภาพ ตปท.ยังดี
น.ส.ชญาวดีกล่าวว่า เสถียรภาพต่างประเทศ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 4/2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกินดุลลดลงจากไตรมาสก่อน จากดุลการค้าที่เกินดุลลดลงเป็นหลัก ขณะที่เดือนธันวาคม 2566 กลับมาเกินดุลที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ขาดดุลในเดือนก่อน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลักๆ มาจากดุลการค้าที่กลับมาเกินดุล เนื่องจากการนำเข้าลดลง และดุลบริการรายได้และเงินโอนที่ขาดดุลลดลง

อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2566 เฉลี่ยแข็งค่าขึ้นตามดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังจากตลาดการเงินปรับคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยจะเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกัน เดือนมกราคม 2567 อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอ่อนค่าลงเล็กน้อยตามเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็ง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาค่อนข้างดี รวมถึงตลาดปรับคาดการณ์ว่าเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นช้าลง

ทั้งนี้ แนวโน้มเดือนมกราคม 2567 และระยะต่อไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนมกราคม 2567 คาดว่ายังได้รับแรงส่งจากการบริโภคและภาคท่องเที่ยวและยังต้องติดตามการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และระยะต่อไปต้องติดตาม 1.การฟื้นตัวของการค้าโลก 2.ผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และ 3.นโยบายของภาครัฐ