กกร. ย้ำศก.ฟื้นตัวได้แต่อ่อนแอ จี้รัฐ เร่งสกัดสินค้านำเข้าทะลักตีตลาดไทย หวั่นฉุดศักยภาพแข่งขัน
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จากเขตปลอดอากร (Free Trade Zone) เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ แต่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ เพราะเมื่อผลิตในประเทศก็ต้องเสียภาษี แต่สินค้านำเข้ามาหากไม่เกิน 1,500 จะไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ไม่สามารถแข่งขัน กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมถึงการออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ อาทิ การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาดมาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวด หรือการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
“เรามีการหารือกันในที่ประชุม ซึ่งจะดำเนินการทำเรื่องเสนอต่อรัฐบาล เพื่อให้ดูแลเรื่องสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศ เพราะขณะนี้ไม่ใช่แค่ในไทยแต่ไปยังตลาดอาเซียนและทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วย อาทิ กางเกงช้าง ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้“ นายทวี กล่าว
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ จากเป้าหมายของภาครัฐ ที่ต้องการให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยในปี 2567 จำนวน 35 ล้านคน กกร. มีความกังวลต่อความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ อาทิ ภูเก็ต จึงขอเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความหนาแน่น กระจายรายได้อย่างทั่วถึง
รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเห็นภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด โดย
กกร.คาดการณ์ประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 เติบโตระหว่าง 2.8-3.3% ส่งออก 2-3% เงินเฟ้อ 0.7-1.2%
“รวมถึงการลงทุนภาครัฐเป็นบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดการคูณในระบบเศรษฐกิจ และจีดีพีของไทย โดยเฉพาะโครงการที่เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทย จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง เพิ่มการจ้างงาน แต่ควรใช้กฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้าง เน้นใช้สินค้าภายในท้องถิ่น เพื่อไม่ให้เอื้อประโยชน์กับฝ่ายใดฝ่ายเดียวเท่านั้น“ นายกอบศักดิ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมกกร.สนับสนุนการดำเนินมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเล็งเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และยั่งยืน จะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ พยายามแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศได้อย่างยั่งยืน เพื่อการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดความแตกต่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มต่างๆ รวมถึงลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยภาคธุรกิจจะต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพ ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง