‘บี.กริม’ควัก4.1แสนล้าน ลุย6ธุรกิจเทรนด์โลก!!

‘บี.กริม’ควัก4.1แสนล้าน ลุย6ธุรกิจเทรนด์โลก!!
ฮาราลด์ ลิงค์

“ดําเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี” คือ ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม บี.กริม บิ๊กคอร์ปของไทยที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2421 ปัจจุบันอายุ 145 ปี กำลังมุ่งสู่ปีที่ 150 กับภารกิจสยายปีกสู่ 6 กลุ่มธุรกิจเป้าหมายให้เติบโตก้าวกระโดด ขึ้นแท่นองค์กรชั้นนำระดับโลก

นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม ให้ข้อมูลว่าตลอด 145 ปี บี.กริมมุ่งมั่นในการทำธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม จากจุดเริ่มต้นธุรกิจร้านปรุงยาสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 สู่บริษัทที่มีหลากหลายธุรกิจในทุกวันนี้ โดยมี “ดีเอ็นเอ” ของความทันสมัยและก้าวไปไม่หยุดนิ่ง ภายใต้ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) ที่ครอบครัว บี.กริม ยึดถือเป็นวิถีปฏิบัติในการทำงานเสมอมา ซึ่งเสมือนอาวุธที่นำมาประยุกต์เป็นกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อปรับเปลี่ยนและรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง พร้อมนำเสนอสิ่งใหม่มาสู่สังคมไทยที่หลากหลาย บี.กริมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การริเริ่มขุดคลองชลประทานรังสิต, การนำเข้ายาที่ทำให้คนไทยไม่ต้องป่วยตายโดยไม่จำเป็น,การติดตั้งเครื่องโทรเลขไร้สายเป็นครั้งแรก ตลอดจนกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมและการดำเนินธุรกิจการค้าอื่นๆ

ปัจจุบัน บี.กริมมีสายธุรกิจหลัก 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจด้านพลังงาน 2.ธุรกิจอุตสาหกรรม 3.ธุรกิจสุขภาพ 4.ธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล 5.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ เป็นตัวแทนสินค้าแฟชั่นหลายกลุ่ม และ 6.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยวันนี้ บี.กริม ในวันที่ก้าวข้ามการแข่งขันในประเทศสู่การเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลก โดยมุ่งกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ และกำหนดทิศทางการลงทุนของบี.กริม ซึ่งจะเน้นไปที่ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) 1.ความร่วมมือกัน (Partnership) 2.ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Pioneering Spirit) 3.การมีทัศนคติที่ดี (Positivity) และ 4.ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism)

“ด้วยแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ตลอด 145 ปี พร้อมกับกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ บี.กริม พร้อมเดินหน้าเติบโตสู่องค์กรชั้นนำระดับโลก ก้าวสู่ความสำเร็จและขยายธุรกิจไปในหลายประเทศทั่วโลก ผลักดันให้ต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของคนไทย และช่วยนำพาธุรกิจ และพันธมิตรทุกคนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” ประธาน บี.กริมระบุ

ADVERTISMENT
ผู้บริหารบี.กริม

นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืนและสายงานธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซีย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ภายในปี 2567-2573 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 410,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น 68,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานในยุทธศาสตร์ระยะยาว “GreenLeap-Global and Green” โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% ในปี 2573 และตั้งเป้าขยายการลงทุนในส่วนของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมถึง 10,000 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอยู่ประมาณ 15,000 ล้านบาท

“ในปี 2567 นี้จะแบ่งสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 10,000-15,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มพลังงาน โดยคาดว่าจะมีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) อยู่ที่ประมาณ 600-800 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีการขายเชิงพาณิชย์ (COD) ประมาณ 300 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าว่าจะสามารถทำกำไรได้ 10-15% ภายในปีนี้” นายนพเดชกล่าว

ADVERTISMENT

นายนพเดชกล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการได้รับสิทธิเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติ (แอลเอ็นจี) หรือชิปเปอร์ อีกรายของประเทศนั้น คาดว่าในปี 2567 นี้จะเริ่มมีการนำเข้าแอลเอ็นจีเพื่อนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าของ บี.กริม 23 แห่งก่อน ประมาณ 4-5 คาร์โก คาร์โกละ 50,000-70,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ค้าในกลุ่มประเทศสหรัฐและแถบแอฟริกา คาดว่าจะสามารถนำเข้าได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยปัจจุบันยังรอความชัดเจนของการกำหนดราคาและกฎเกณฑ์การนำเข้าแอลเอ็นจีจาก บมจ.ปตท. ในฐานะ Pool manager

ด้าน นายกิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ BGRIM กล่าวว่าหน่วยธุรกิจ บี.กริม ฟาร์มา เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจ ที่ บี.กริม ให้ความสำคัญมาโดยตลอด และนำกลับมาพัฒนาในปี 2565 ซึ่งปัจจุบันยอดขายยา เวชสำอาง และอาหารเสริมของ บี.กริม ฟาร์มา เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย มีสินค้าประเทศยาอยู่ที่ 450 ตัว เวชสำอาง 50 ตัว และอาหารเสริมกว่า 110 ตัว นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้กว่า 3 ล้านคน และในปี 2566 นั้นสามารถทำรายได้กว่า 3,300 ล้านบาท โดยมาจาก 4 กลุ่มยาหลักได้แก่ กลุ่มยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มยารักษาโรคระบบประสาทและจิตเวช กลุ่มยารักษาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ และกลุ่มยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร

“ตั้งเป้าให้ บี.กริม ฟาร์มาขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยให้ได้ภายในปี 2573 โดยคาดว่าจะสร้างยอด 6,600 ล้านบาท และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยได้กว่า 4.5 ล้านคน ทั้งนี้จำนวนผู้ป่วยและผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้นมีมากขึ้น และ 2 โรคสำคัญที่เกิดการแพร่กระจายไปสู่คน นั่นคือโรคเบาหวาน และมะเร็ง ส่งผลให้ตลาดยาในประเทศไทยนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มูลค่ารวมตลาดอยู่ที่ 178 ล้านบาทและเติบโตปีละ 5% มาตลอด

“รวมถึงอีกหนึ่งโอกาสของบริษัทคือสิทธิบัตรยาหลายตัวกำลังหมดอายุซึ่งบริษัทสามารถเข้าไปขอสิทธิบัตรและทำการผลิตเพื่อนำขายสู่ตลาดได้” นายกิตติศักดิ์ทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image