นักวิชาการ ชี้ กนง.คงดอกเบี้ยรอเงินดิจิทัลชัดเจน คาดลดเร็วสุด เม.ย.67

นักวิชาการ ชี้ กนง.คงดอกเบี้ยรอเงินดิจิทัลชัดเจน คาดลดเร็วสุด เม.ย.67

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีมติ คงดอกเบี้ยนโยบายนั้น ในแง่หลักการที่ยังคงดอกเบี้ยนั้น ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อที่ติดลบ เป็นส่วนของเงินเฟ้อทั่วไปจากเรื่องราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งเป็นนโยบายช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวก ดังนั้น หากในอนาคตมาตรการลดราคาพลังงานน้อยลง เงินเฟ้อก็จะกลับมาปรับตัวสูงขึ้น

นายสมชาย กล่าวว่า ปัจจัยที่สองคือ เรื่องโครงการดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท ถ้ามีโครงการนี้ออกมาในอนาคต ก็จะเป็นอีกแรงที่กดดัน กนง.ในการพิจารณานโยบายการเงิน ปัจจัยที่สาม คือ ดอกเบี้ยนโยบายของต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่ยังส่งสัญญาณว่าเดือนมีนาคม 2567 ก็อาจจะยังไม่ลดดอกเบี้ยลง เพราะบทเรียนในอดีต ที่เคยปรับลดแล้วลำบาก รวมทั้งเรื่องแรงกดดันด้านแรงงานยังสูง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี ก็มีคนออกมาบอกเช่นกันว่าถ้าจะลดดอกเบี้ย ก็ควรดูให้แน่ใจก่อน ว่าถ้าลดแล้วจะเกิดแรงกดดันเพิ่มหรือไม่ เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องภูมรัฐศาสตร์ที่ยังไม่แน่นอน

“ขณะนี้จะเห็นว่า ตลาดสหรัฐมีเงินไหลออกมาส่วนหนึ่ง เพราะมีคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย แม้เฟดจะออกมาเป็นมติว่ายังไม่ลดดอกเบี้ย แต่เงินก็ไหลออกไปแล้ว เพราะฉะนั้น จากกรณีนี้ ทางกนง. อาจจะคำนึงถึงว่า ถ้าไทยลดดอกเบี้ย ก็ควรดูให้แน่ใจก่อน ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องเงินไหลออก ขณะเดียวกัน ต้องรอดูโครงการดิจิทัลให้มีความชัดเจนก่อน เพราะฉะนั้น คาดว่าการลดเบี้ยนโยบาย ของกนง. เป็นไปได้เร็วที่ คือ เดือนเมษายน 2567” นายสมชาย กล่าว

Advertisement

นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนผลกระทบจากการคงดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.นั้น มองว่ามีผลกระทบน้อย เพราะแม้ว่าดอกเบี้ยจะยังสูงอยู่ แต่การบริโภค กำลังซื้อไม่ได้ลดลง ปี 2566 ที่ผ่านมาปัจจัยเศรษฐกิจหลายตัวแย่ลง อาทิ ภาคการส่งออก แต่ส่วนที่ยังขยายตัว และกระตุ้นเศรษฐกิจได้คือ เรื่องของการบริโภคภาคเอกชน ที่โตถึง 7% ซึ่งถือว่ายังเข้มแข็งอยู่ รวมถึงรัฐบาลก็มีมาตรกการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น กนง.ก็อาจจะใช้ส่วนนี้เป็นปัจจัยที่ไม่ลดดอกเบี้ย และมองไม่เหมือนรัฐบาล

นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนเรื่องของโครงการดิจิทัล วอลเล็ตที่รัฐบาลยืนยันว่าจะเริ่มได้ภายในปี 2567 นี้ มองว่า โครงการดังกล่าวก็จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยหลายสำนักวิเคราะห์มองโครงการในทางบวก ว่าช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2567 ได้ที่ 0.5-1% ขณะที่เรื่องเงินเฟ้อ คิดว่าส่งผลไม่มาก คาดว่าที่ 0.2% เท่านั้น ด้านหนี้สาธารณะ หลังจากมีโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต คาดว่าเพิ่มจาก 62% ไปอยู่ที่ 64-65% แม้จะยังดูไม่อันตราย หรือชนเพดาน แต่ก็ต้องระวังเรื่องการสะสมของหนี้อื่นๆที่อาจจะเข้ามาด้วยและกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในอนาคต

“ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าทำโครการดิจิทัล วอลเล็ตก็ ต้องระวังสองเรื่องสำคัญ คือ เรื่องการกระจุกตัวของหนี้สาธารณะเพิ่มมากไป มากกว่าเป็นหนี้ที่มาจากในโครงการดิจิทัล วอตเล็ตเอง กับการเร่งผลักดันมาตรการที่รัฐบาลกำลังทำ อาทิ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นการลงทุน ซึ่งจากตัวเลขการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ล่าสุด ก็ถือว่าทำได้ดี ดังนั้นถ้ารัฐบาลมีมาตรการมาช่วยส่งเสริมกัน ก็จะเป็นการป้องปรามปัญหาเรื่องเสถียรภาพได้”นายสมชาย กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image