ส.อ.ท.อ้อนรัฐขอค่าไฟใกล้เวียดนาม-อินโด ดึงลงทุนไทย โอดเป้าเน็ตซีโรไทยช้าหวั่นกระทบขีดแข่งขัน
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ สถาบันวิทยาการพลังงาน ร่วมมือกับสมาคมวิทยาการพลังงาน (สวพน.) จัดสัมมนา “THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวระหว่างเสวนาเรื่อง “ทิศทางพลังงานไทยปี 2567” ว่า ราคาค่าไฟของไทยงวดปัจจุบัน (มกราคม-เมษายน 2567) ระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งด้านการลงทุนไทยอย่างเวียดนาม ซึ่งราคาเพียง 2.67 บาทต่อหน่วย แม้จะเคยเกิดไฟดับแต่สาเหตุมาจากรับการลงทุนต่างชาติจำนวนมาก แต่ล่าสุดเวียดนามได้วางโครงสร้างรับการเติบโตดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้อินโดนีเซียก็มีค่าไฟเพียง 2.52 บาทต่อหน่วย และลาว 1.02 บาทต่อหน่วย ราคาที่สูงของไทยจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนไทย โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ เพราะหลายอุตสาหกรรมสำคัญมีต้นทุนค่าไฟ ต้นทุนพลังงานเป็นต้นทุนหลัก
“ก่อนขึ้นเวทีสัมมนานี้ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวกับผมว่าให้ใจเย็นๆ กระทรวงกำลังเร่งพิจารณา โดยเฉพาะการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณเดือนเมษายนนี้ หากค่าไฟถูกลงในระดับเหมาะสม เอกชนจะประกาศหยุดงาน 1 วัน และขอเลี้ยงขอบคุณปลัดพลังงานด้วย ทั้งนี้ ขอย้ำรัฐบาลว่าเอกชนยังต้องการให้รัฐบาลตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อเสนอแนวทางบริหารราคาพลังงานร่วมกัน” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวว่า นอกจากราคาพลังงานเหมาะสมแข่งขันได้ อยากให้ภาครัฐออกมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไทย 5 ด้านหลักคือ 1.สนับสนุนการเปลี่ยนใช้เครื่องจักรมีประสิทธิภาพ 2.สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน 3.พัฒนาบุคลากร 4.ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และ 5.จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันในการสนับสนุนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งปัจจุบันอีวีจีนเข้ามาจำนวนมาก อยากให้รัฐบาลสนับสนุนให้การลงทุนสะอาดทั้งระบบ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งสุ่บีซีจี และสามารถมุ่งเน็ตซีโร่ได้
นายเกรียงไกรกล่าวต่อว่า การปรับตัวของไทยมีความจำเป็นเพื่อสอดรับกับบริบทโลกที่ปัจจุบันกำลังเผชิญจีโอโพลิติก เทรดวอร์ การดิสรัปชั่นทางเทคโนโลยีและโลกเดือด ขณะเดียวกันไทยได้ตั้งเป้าหมายสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เป้าหมายคลีน การมุ่งสู่ความยั่งยืน และเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเท่ากับศูนย์ หรือ เน็ตซีโร ภายในปี 2065 แต่สังเกตว่าไทยช้าที่สุด เมื่อเทียบกับทั่วโลก ดังนั้น อยากให้ภาครัฐทบทวนเรื่องนี้ เพราะเป้าหมายดังกล่าวส่งผลต่อขีดแข่งขันของไทย
นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันสหภาพยุโรปได้เดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือซีแบม ในปีที่ผ่านมา โดยนำร่อง 5 สินค้า คือเหล็ก ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และปี 2026 จะเพิ่มอีก 5 สินค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์กลั่นน้ำมัน ไฮโดรเจน แอมโมเนีย โพลิเมอร์ นอกจากนี้สหรัฐ แคนาดา จีน และทั่วโลก จะมีมาตรฐานบังคับใช้ของตัวเอง ดังนั้น ต้องรับมือ ผลิตสินคัาโดยให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสอดรับกับยอดขอลงทุนไทยปี 2566 ที่สูงถึง 8 แสนล้านบาท นักลงทุนที่ยื่นขอลงทุนรายสำคัญของโลกต่างต้องการไฟสีเขียวจากพลังงานสะอาด เพื่อใช้อ้างอิงในการขายสินค้าไปทั่วโลก ซึ่งซีแบมเป็นหนึ่งในมาตรการที่เริ่มต้นแล้ว
“ปีนี้ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกเติบโต 2.4% ขณะที่องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) คาดการค้าโลกเติบโต 0.8% และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตถึง 4.4% ถือเป็นระดับดี” นายเกรียงไกรกล่าว