คาดจีดีพีไทยปี‘67 ขยายตัว 2.7% ผลจากศก.โลก-จีนระส่ำ ซ้ำรายได้ท่องเที่ยวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด

กรุงไทยคาดจีดีพีไทยปี‘67 ขยายตัว 2.7% ผลจากศก.โลก-จีนระส่ำ ซ้ำรายได้ท่องเที่ยวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS โดยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ว่า มีแนวโน้มขยายตัวอย่างจำกัดที่ระดับ 2.7% เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวได้จำกัด อาจขยายตัวเพียง 1.8% จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม เช่น สาขาที่พึ่งพาการใช้แรงงาน และสูญเสียความสามารถการแข่งขันยังผลิตได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด

ขณะที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 34 ล้านคน แต่ยังต่ำกว่าปกติที่ 40 ล้านคน แม้จะมีนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังฟื้นตัวจำกัด จากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอ และรัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ

“นอกจากนี้ ไทยย้งมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง การบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอตัว จากภาระหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ขณะที่ธุรกิจเอกชนบางส่วนเผชิญความยากลำบากในการชำระคืนหนี้ โดยในส่วนที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้ อาจมีต้นทุนการออกหุ้นกู้และการชดเชยความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น”นายพชรพจน์ กล่าว

Advertisement

นายพชรพจน์ กล่าวว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ต้องตั้งรับกับสถานการณ์โลกที่มีการรีเซ็ตสำคัญ 3 ประการ คือ 1. การรีเซ็ตเทรนด์โลกใหม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสโลกที่เปลี่ยนไป จะนำโลกไปสู่การเมืองแบบหลายขั้วท่ามกลางความขัดแย้ง ขณะที่กระแสรักษ์โลกคืบหน้ามากขึ้น และเทรนด์นวัตกรรม AI เปลี่ยนโลก

2. การรีเซ็ตเศรษฐกิจโลกภายใต้ภาวะการเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ สร้างความยากลำบากในการระดมทุนและจ่ายคืนหนี้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้

และ 3. การรีเซ็ตเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจโลก โดยเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐฯ และจีนอาจดับลงพร้อมกัน ความเสี่ยงหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ ขณะที่สงครามการค้าซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จะเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจจีนให้อ่อนแอลงไปอีก

Advertisement

“แนะนำภาคธุรกิจให้เตรียมพร้อมรับมือกับการรีเซ็ตเศรษฐกิจโลกใหม่ โดยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการค้าจากขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ เพื่อรับมือกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยจำเป็นต้องศึกษาและวางแผนจัดการห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับกระแสแยกขั้ว ทั้งการย้ายฐานของบรรษัทข้ามชาติกลับไปยังประเทศแม่ (Reshoring) และการย้ายฐานและทำการค้าเฉพาะประเทศพันธมิตรด้วยกัน (Friend-shoring)”นายพชรพจน์ กล่าว

ทั้งนี้ ต้องจับตาสถานการณ์ของสหรัฐฯ และจีนในปีนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงจากการกลับทิศของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น การประกาศจะตั้งกำแพงภาษีต่อจีนถึง 60% ซึ่งอาจส่งผลให้สัดส่วนการนำเข้าจากจีนแทบเหลือ 0% ส่วนจีนจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติม จากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่กระทบกำลังซื้อภายในประเทศอยู่แล้ว หากเครื่องยนต์หลักทั้งสองตัวของโลกถูกรีเซ็ต ไทยและประเทศต่างๆ อาจประสบกับพายุลูกใหญ่ในระยะข้างหน้า

“นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเจนเอไอและปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสสังคมคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และเอสเอ็มอีควรร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจ สร้างศักยภาพจากอีโคซิสเต็มวางกลยุทธ์ลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ชึ่งจะเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจโดยเฉพาะรายย่อยและเอสเอ็มอีมากยิ่งขึ้น”นายพชรพจน์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image