สุพันธุ์ แนะ 3 สูตร ถกกัมพูชา แบ่งขุมทรัพย์ใต้ทะเลโอซีเอ

แฟ้มภาพ

“สุพันธุ์” แนะ 3 สูตร ถกเขมร แบ่งขุมทรัพย์ใต้ทะเลโอซีเอ

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการรื้อฟื้นเจรจาปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา หรือโอซีเอ (Overlapping Claims Area หรือ OCA) เพื่อนำก๊าซธรรมชาติในอาวไทยมาใช้ประโยชน์ร่วมกันว่า เห็นด้วยกับความร่วมมือดังกล่าว เพื่อดึงทรัพยากรที่มีมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด เป็นความมั่นคงพลังงานไทย ปัจจุบันไทยเข้าขั้นขาดแคลนและต้องนำเข้าราคาแพง ส่งผลต่อราคาพลังงานแพง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า

“เรื่องนี้เจรจามานานเกือบ 50 ปีแล้ว ควรจะจบในรัฐบาลชุดนี้ เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลกัมพูชา จึงน่าจะมีโอกาสในการหาทางออกร่วมกันได้ เพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ” นายสุพันธุ์กล่าว

นายสุพันธุ์กล่าวว่า สำหรับแนวทางจัดการ หากมุ่งแบ่งเขตแดน ตีเส้น คงไม่สามารถจบได้ อยากให้ใช้วิธีดึงก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาแล้วแบ่งสัดส่วนกัน อาจทำเป็น 3 ระดับ คือ หลุมขุดเจาะที่ใกล้ไทยก็แบ่งให้ไทยมากกว่า ส่วนหลุมขุดเจาะที่ใกล้กัมพูชาก็แบ่งให้กัมพูชามากกว่า และกลุ่มขุดเจาะที่อยู่บริเวณตรงกลางก็ฝ่ายละครึ่ง นอกจากนี้รัฐบาลต้องมีแผนบริหารจัดการชัดเจน ทั้งงบประมาณที่จะใช้ การลงทุนนี้คนไทยส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์อย่างไร ราคาพลังงานจะเป็นอย่างไร จะบริหารก๊าซอย่างไร ที่สำคัญคนไทยต้องได้ประโยชน์ ไม่ใช่ตกอยู่กับเอกชนที่ลงทุน

Advertisement

“การลงทุนครั้งนี้สำคัญ เป็นเรื่องความมั่นคงประเทศ คนไทยต้องได้ประโยชน์ มีรายละเอียดจับต้องได้ ไม่ใช่เศษเนื้อเศษหนัง จนสุดท้ายประโยชน์หลักๆ ไปอยู่กับเอกชนหมด” นายสุพันธุ์กล่าว

นายสุพันธุ์กล่าวว่า หากโอซีเอสำเร็จหวังว่าค่าไฟฟ้าจะให้ถูกลง แต่อยู่ที่การจัดการของรัฐบาลเพื่อความมั่นคงระยะยาว ส่วนค่าไฟฟ้าปัจจุบัน 4.18 บาทต่อหน่วย ถือว่าเป็นระดับที่รับได้ และประเทศในอาเซียนก็มีทั้งสูงกว่าและต่ำกว่าไทย ดังนั้นในแนวทางบริหาร รัฐบาลต้องทำให้ค่าไฟฟ้าไทยอยู่ระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การแข่งขันของไทยไม่สะดุด ไปต่อได้

นายสุพันธุ์กล่าวว่า ส่วนกรณีสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย โดยเฉพาะจากประเทศจีน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ยาก เรื่องนี้ต้องดำเนินการ 2 ทาง คือ 1.รัฐต้องกำหนดแนวทางกำกับดูแลเข้มข้นผ่านทุกเครื่องมือที่มี เพื่อปกป้องสินค้าไทย 2.รัฐต้องจริงจังในการพัฒนาสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับของคนไทยด้วยกันเอง และต่างชาติ เช่น สินค้ากลุ่มอาหารที่เป็นจุดแข็งของไทยต้องพัฒนาต่อยอด ต้องพยายามเฟ้นอุตสาหกรรมที่ไปต่อได้ พัฒนาเพื่อเน้นขายกลุ่มกำลังซื้อสูง อย่างเสื้อผ้า ดูตัวอย่างเสื้อผ้าจากอิตาลี ก็ปรับตัวจนยังสามารถครองตลาดกลุ่มกำลังซื้อสูงได้ ส่วนอุตสาหกรรมไหนที่สู้ไม่ได้ทั้งคุณภาพและต้นทุน รัฐต้องช่วยเหลือปรับตัว

Advertisement

“สินค้าไทยต้องให้ความสำคัญกับลิขสิทธิ์ และแบรนดิ้ง หน่วยงานรัฐไม่ควรรอผู้ประกอบการมาขอจดลิขสิทธิ์ แต่ควรออกหาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในชุมชน หรือโรงงานตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทำงานเชิงรุก สินค้าจะได้การพัฒนาอย่างจริงจัง จนคนยอมรับ เหมือนญี่ปุ่น ถ้าทำได้สู้สินค้าต่างประเทศที่เข้าไทยได้” นายสุพันธุ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image