2 เดือนปี’67 แห่ตั้งบริษัท ทุนจดทะเบียนทะลุ 4.5 หมื่นล. รถยนต์ไฟฟ้าโตก้าวกระโดด

กระทรวงพาณิชย์ โดยนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงสถิติจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ พบว่าเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่รวม 17,270 ราย ทุนจดทะเบียน 45,794.41 ล้านบาท เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ยอดจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น 267 ราย หรือเพิ่ม 1.57% ทุนจดทะเบียนเพิ่ม 5,807.51 ล้านบาท หรือเพิ่ม 14.52% โดยธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 1,378 ราย ทุนจดทะเบียน 3,020.09 ล้านบาท 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,311 ราย ทุนจดทะเบียน 5,275.20 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 743 ราย ทุนจดทะเบียน 1,374.09 ล้านบาท

ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 2 เดือนแรก 2567 รวม 1,898 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 6,361.29 ล้านบาท เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ยอดเลิกประกอบธุรกิจลดลง 268 ราย หรือลด 12.37% ทุนจดทะเบียนรวมลด 846.37 ล้านบาท หรือลด 11.74% โดยธุรกิจที่มีการเลิกประกอบธุรกิจสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 192 ราย ทุนจดทะเบียน 446.51 ล้านบาท 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 100 ราย ทุนจดทะเบียน 409.83 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 71 ราย ทุนจดทะเบียน 185.90 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 905,544 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 21.86 ล้านล้านบาท

ขณะที่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 109 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 37 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 72 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 26,542 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 564 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 31 ราย เงินลงทุน 15,930 ล้านบาท ตามด้วยสิงคโปร์ 18 ราย เงินลงทุน 1,760 ล้านบาท สหรัฐ 15 ราย เงินลงทุน 959 ล้านบาท จีน 11 ราย เงินลงทุน 892 ล้านบาท และฮ่องกง 7 ราย เงินลงทุน 621 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจที่น่าสนใจและมีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ หรือธุรกิจขายปลีกทางอินเตอร์เน็ต โดย 2 เดือนแรกปีนี้มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ 479 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 555.06 ล้านบาท คิดเป็น 2.77% และ 1.21% เปรียบเทียบกับจำนวนและมูลค่าการจดทะเบียนจัดตั้ง 2 เดือนปี 2566 พบว่า จดทะเบียนธุรกิจเพิ่ม 116 ราย หรือเพิ่ม 31.96% ทุนจดทะเบียนเพิ่ม 137.43 ล้านบาท หรือเพิ่ม 32.91% สาเหตุมาจากประกาศของกรมสรรพากรที่กำหนดให้อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มมีบัญชีพิเศษที่ต้องจัดทำและนำส่งข้อมูลผู้ประกอบการให้แก่กรมสรรพากร และจากมาตรการดังกล่าว คาดว่าจะมีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเข้ามาจดทะเบียนจดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจของไทยเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น

Advertisement

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นธุรกิจดาวเด่นที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดรับ Mega Trend ของรัฐบาล โดยนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างเข้าสู่ธุรกิจเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ยังมีพื้นที่อีกมาก โดยธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและที่เกี่ยวเนื่องประกอบด้วย 1.กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า 2.กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ 3) กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ

กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า ปัจจุบันมีนิติบุคคลจำนวน 31 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 14,537.19 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ 22 ราย คิดเป็น 70.97% มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,480.19 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง ปี 2563 รายได้รวม 272,016.67 ล้านบาท กำไรรวม 17,927.72 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 242,555.67 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2563 จำนวน 29,461 ล้านบาท หรือ 10.83%) กำไรรวม 18,237.56 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 309.84 ล้านบาท หรือ 1.73%) ปี 2565 รายได้รวม 282,440.52 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 39,884.85 ล้านบาท หรือ 16.45%) กำไรรวม 22,654.61 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 4,417.05 ล้านบาท หรือ 24.22%)

กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมีนิติบุคคล 122 ราย ทุนรวม 76,674.67 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ 85 ราย คิดเป็น 69.67% มูลค่าทุน 71,967.55 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง ปี 2563 รายได้ 503,394.36 ล้านบาท กำไร 23,776.13 ล้านบาท ปี 2564 รายได้ 534,036.21 ล้านบาท กำไรรวม 23,482.56 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 592,925.42 ล้านบาท กำไร 34,728.24 ล้านบาท

Advertisement

กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ ปัจจุบันมีนิติบุคคลจำนวน 9 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31,758.46 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลาง 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุน 31,328.01 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง ปี 2563 รายได้ 3,191.55 ล้านบาท กำไร 375.78 ล้านบาท ปี 2564 รายได้ 3,084.07 ล้านบาท กำไร 194.64 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 3,029.38 ล้านบาท ขาดทุนรวม 52.42 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้าและกลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของนิติบุคคลส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ สัญชาติที่มีการลงทุนมากสุด คือ ญี่ปุ่น จากสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจอื่น แต่เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้าแม้ธุรกิจขนาดเล็กมีจำนวนน้อยกว่าแต่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานีชาร์จอาจยังสร้างรายได้และผลกำไรที่ไม่ดีมากนัก แต่การลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เป็นการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีระยะเวลาคืนทุนค่อนข้างนาน จึงต้องจับตามองประสิทธิภาพในการทำกำไรของธุรกิจนี้ต่อไปในอนาคต

สำหรับการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ระยะ 4 ปีที่ผ่านมา (2563-66) มี 14 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22,134.80 ล้านบาท เป็นนักลงทุนจากสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐ และสหราชอาณาจักร ลงทุนในธุรกิจนายหน้า/ค้าปลีก/ค้าส่ง (รถยนต์ไฟฟ้า/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า/EV Battery) 4 ราย ทุน 310.80 ล้านบาท ธุรกิจ EV Charging Station 3 ราย ทุน 8,893.34 ล้านบาท ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต 2 ราย ทุน 371.68 ล้านบาท และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า 5 ราย ทุน 12,558.99 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถ EV มีแนวโน้มการลงทุนจากสัญชาติจีนในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นแบรนด์จากจีน ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตมากและส่งออกมากที่สุดของโลก โดยนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 1% ของสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศจีน ขณะเดียวกันประเทศจีนกำลังเข้ามาขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วย นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยจะทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้าน และองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนวัตกรรมการผลิตรถ EV

“อุตสาหกรรม EV มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสาเหตุด้านความผันผวนของราคาน้ำมันหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้อุตสาหกรรมจะเผชิญความท้าทายด้านการทำกำไร เนื่องจากราคารถ EV มีแนวโน้มถูกลงจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนารูปแบบรถ EV ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ทำให้โอกาสของรถ EV และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคต”

นางอรมนกล่าวสรุปว่า เปิดศักราชใหม่ 2567 ธุรกิจไทยเดินหน้าจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกันอย่างต่อเนื่อง โดยกรมประเมินว่าไตรมาสแรก 2567 จะมียอดจดทะเบียน 23,000-27,000 ราย คาดว่าทั้งปี 2567 จะเป็นนักธุรกิจไทยและต่างชาติลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง คาดเติบโต 5-15% และมียอดจัดตั้งใหม่ 98,000 ราย จากปัจจัยสนับสนุน เช่น การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ภาคการส่งออกเริ่มฟื้นตัว โครงการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจภาครัฐขนาดใหญ่กลับมาต่อเนื่อง หลังล่าช้าและหยุดชะงักช่วงโควิด-19 รวมถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) ที่ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีการเติบโตตามไปด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image