เอสเอ็มอีเฮ!! รัฐปลดล็อกโซลาร์ รูฟท็อป หนุนสินเชื่อ-แปลงทุนเพิ่มสภาพคล่อง

เอสเอ็มอีเฮ!! รัฐปลดล็อกโซลาร์ รูฟท็อป หนุนสินเชื่อ-แปลงทุนเพิ่มสภาพคล่อง

เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศเดินหน้าแก้ไขกฎหมายปลดล็อกให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอีกต่อไป
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขกฎกระทรวง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ.2567

โดยมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ดำเนินการ!!

เสียงตอบรับจากภาคเอกชนเป็นบวก เพราะหวังให้กติกาภาครัฐผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนให้เอกชนลงทุนติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป อย่างเต็มศักยภาพ

การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว “ดร.ณัฐพล รังสิตพล” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล โดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายผลักดันให้ทุกภาคส่วนใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ เพื่อยกระดับระบบพลังงานไฟฟ้าไทยให้มีความเสถียร ยั่งยืน เป็นพลังงานสะอาดและราคาถูก ซึ่งจะเป็นจุดแข็งสำคัญที่จะตอบสนองกติกาสากล และช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ให้เพิ่มมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแบบ “ซีโร่คาร์บอน”

พร้อมสนับสนุนนโยบาย “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” ของ “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างบรรยากาศในการลงทุน และเน้นย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนให้มากที่สุด

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานข้อมูลกับภาคเอกชน อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคศูนย์การค้า ภาคโรงแรม และภาคบริการ พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ในขณะที่ต้นทุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์มีราคาที่ถูกลง ทำให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจที่ประสงค์จะติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา หรือโซลาร์ รูฟท็อป เป็นจำนวนมาก เช่น อาคารโรงงาน ศูนย์การค้า โรงแรม มหาวิทยาลัย เป็นต้น

ขณะที่ตามกฎหมายโรงงานเดิมกำหนดว่าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ที่มีกำลังผลิตเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1 เมกะวัตต์ เข้าข่ายเป็นโรงงานต้องขอรับใบอนุญาต โดยเทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมากโดยใช้จำนวนแผงเซลล์แสงอาทิตย์ หรือพื้นที่ติดตั้งลดลงกว่าเดิมถึง 2.7 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2557 อีกทั้งยังมีมาตรฐานควบคุมด้านความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น การปลดล็อกดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้ง่ายขึ้น ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 500 tCO2/เมกะวัตต์/ปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 62,500 ต้น

รวมทั้งนับเป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการเกิดการขับเคลื่อนทางธุรกิจอย่างสมดุล และยั่งยืนใน 4 มิติ ทั้งด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจต่างๆ ส่งเสริมการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) การได้รับการยอมรับจากสังคม ความลงตัวกับกติกาสากล ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อโอกาสทางธุรกิจตอบโจทย์ไทย และประชาคมโลก และการกระจาย
รายได้สู่ชุมชนจากการขยายตัวของธุรกิจติดตั้งโซลาร์เซลล์

นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ.2065 (พ.ศ.2608)

ของประเทศไทยต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย MIND ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน

สอบถามข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม “ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ระบุว่า กรมโรงงานฯ อยู่ระหว่างขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายปลดล็อกให้การติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีจำนวนมาก

โดย กรอ. เตรียมผลักดันให้มีการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนจากโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ด้วยเช่นกัน

ผู้ประกอบการสามารถนำโซลาร์รูฟท็อป เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนสำหรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป สามารถนำโครงการไปขอสินเชื่อสำหรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป จากสถาบันทางการเงิน อาทิ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีดีแบงก์

อธิบดีจุลพงษ์ ยังให้ข้อมูลว่า จากมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีพร้อมกับสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป บนหลังคาโรงงานอุตสาหกรรมครั้งนี้มั่นใจว่าจะทำให้ปี 2567 เอสเอ็มอีจะนำโซลาร์รูฟท็อปของโรงงานตัวเองมาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรเพิ่มขึ้น คาดจะพุ่งกว่า 100%

จากปี 2566 มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร จำนวน 169 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อธิบดีจุลพงษ์ยังระบุว่า กรอ. ดำเนินโครงการ “เร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 มีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ ให้ความรู้ความเข้าใจ และให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประเทศ

เน้นความรู้ด้านการเพิ่มการผลิต การลดต้นทุนด้านพลังงาน การลดต้นทุนในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงเครื่องจักรเดิม หรือการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ทดแทน

โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2559 มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 2,998 ราย และมีเครื่องจักรที่ได้รับการตรวจสอบปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนแล้วไม่น้อยกว่า 12,500 เครื่อง

คาดว่าในปี 2567 ในภาพรวมจะมีเอสเอ็มอีขอมายื่นจดทะเบียนเครื่องจักร ไม่น้อยกว่า 5,000 เครื่อง มูลค่าการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท

“ผมอยากให้เอสเอ็มอีทั่วประเทศ นำโซลาร์รูฟท็อป เครื่องจักรขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือเครื่องจักรในธุรกิจอื่น อาทิ สวนสนุก ฟาร์ม โรงพยาบาล เป็นต้น มาจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีอีกทางหนึ่ง” อธิบดีจุลพงษ์ทิ้งท้าย