สารัชถ์ ดันกัลฟ์ขึ้นเบอร์ 1 คริปโท จ่อยื่นเวอร์ชวลแบงก์
เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ The Grystal Box, Gaysorn Urban Resort ชั้น 19 อาคารเกษร ทาวเวอร์ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา “Gulf Binance Digital Asset Forum” ถึงภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2024 ว่า ได้รู้จักไบแนนซ์ผ่านเจ้าของถือว่ามีความคุ้นเคยกันดี จากการที่สนใจลงทุนด้านดิจิทัล ไบแนนซ์มีความรู้ความเชี่ยวชาญจึงเลือกไบแนนซ์เพราะมีความมั่นคง มีแนวความคิดที่ดี ซึ่งการทำธุรกิจดิจิทัลต้องต้องโปร่งใส ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีต้องตอบโจทย์ ระบบไบแนนซ์ค่อนข้างดี ส่วนตัวเคยถามว่าหากเอาเงินไปฝากเสี่ยงที่จะหายไปหรือไม่ ไบแนนซ์ให้ความมั่นใจถึงระบบการสำรองที่เพียงพอทั้งในบริษัทและเทคโนโลยีที่ดี
นายสารัชถ์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวล แบงก์) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังดำเนินการนั้น ขณะนี้กัลฟ์จะร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะยื่นภายในปี 2567 ด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 5,000 ล้านบาท เนื่องจากกัลฟ์มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับเอไอเอสที่มีความพร้อมความเข้าใจในสายธุรกิจดีจากลูกค้า 45 ล้านเลขหมาย ขณะที่กรุงไทยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก
นายสารัชถ์กล่าวต่อว่า สำหรับหลักเกณฑ์ที่ ธปท.ออกถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้น เข้าถึงคนมากขึ้น จะสร้างโอกาสให้กับผู้ที่ไม่มีโอกาสกู้เงินได้ผ่านกาารใช้ข้อมูลมือถือ ซึ่งธนาคารกรุงไทยจะเช็กได้ว่าสามารถให้กู้ได้ตอนไหนบ้าง ถือเป็นโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยไม่แพงมาก อย่างไรก็ตาม อาจจะหาพันธมิตรเพิ่มในอนาคตเพื่อมาช่วยสนับสนุน อีกทั้งการที่ ธปท.เข้มงวดกฎระเบียบถือว่าดี จะสนับสนุนให้มีความปลอดภัยมากขึ้น มีเทคโนโลยีที่พร้อมจะสร้างความมั่นใจมากขึ้น
“ส่วนแผนธุรกิจยังไม่ได้คุยกัน การเข้าถึงฐานลูกค้าของเอไอเอสและกรุงไทยจึงมีโอกาสมากขึ้น มีแนวโน้มกลุ่มปล่อยกู้อยู่แล้ว เชื่อว่ารายเล็กจะได้กู้หลักหมื่นหลักแสน เข้าถึงง่ายขึ้น ช่วยคนส่วนมากทั้งประเทศได้เข้าถึงในอนาคต ซึ่งชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงไปมากจากดิจิทัล เอไอ คลาวด์มากขึ้น ส่วนปี 2568 เมื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เสร็จ ธุรกิจด้านอินฟราสรัคเจอร์ด้านดิจิทัลจะขยายธุรกิจได้เรื่อยๆ อีกแน่นอน” นายสารัชถ์กล่าว
นายสารัชถ์กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจพลังงาน กัลฟ์มีแผนลงทุนต่อเนื่อง ปัจจุบันมีแผนที่จะร่วมกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจร่วมกัน ซึ่งกัลฟ์ลงทุนด้านพลังงานสะอาดทั้ง ลม แสงแดด ถือว่ามีดีมานด์ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก ล่าสุดรัฐบาลมีการกำหนดราคาค่าไฟสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมได้ใช้ไฟฟ้าสีเขียว จะช่วยดึงต่างชาติมาลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนต้องการไฟสีเขียวจำนวนมาก โชคดีที่รัฐบาลไทยได้สนับสนุนให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ออกใบรับรองไฟสะอาด ซึ่งอีกไม่นานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็จะออกมาอีก
“กัฟล์จะใช้ระบบคลาวด์ในการซื้อขายไฟสีเขียว ซึ่งมีนักลงทุนต่างชาติอยากได้ไฟฟ้าสีเขียว” นายสารัชถ์กล่าว
นายสารัชถ์กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจปีนี้น่าจะมีการเติบโตที่ดี แต่งบประมาณออกช้าจึงเงียบเหงา เชื่อว่าปีนี้น่าจะมีมูฟเมนต์ที่ดี ตอนนี้รัฐบาลพยายามเสริมการลงทุนมากขึ้นจากต่างประเทศ ไทยอยู่ในช่วงการทำมาร์เกตติ้ง เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ตามด้วยโปรเจคท์และนโนบายต่างๆ ที่รัฐบาลเตรียมใช้
ด้าน น.ส.ธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะกัลฟ์และในนามผู้ถือหุ้นกัลฟ์ไบแนนซ์นำเสนอว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญของการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะบล็อกเชนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งกัลฟ์อยากเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม กัลฟ์มีทั้งโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและพลังงาน ในขณะที่ไบแนนซ์ ถือเป็นผู้มีประสบการณ์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีด้านบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น ความร่วมมือจะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่ธุรกิจดิจิทัลและต่อยอดไปสู่ธุรกิจดิจิทัลด้านอื่นในอนาคต
นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า คนไทยมีความชื่นชอบสินทรัพย์ดิจิทัลมาก จากการวิจัยพบว่าไทยติดอันดับ 10 ของโลก และจากการสำรวจ 10-20% มีประสบการณ์ครอบครองสินทรัพย์ดิจิทัล จึงถือว่าไทยมีความพร้อมด้านสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรดก็ตามการที่กัลฟ์และไบแนนซ์มาร่วมพัฒนาจะทำให้ใช้อีโคซิสเต็มอย่างกว้างขวางเพื่อเปิดตัวในไทย ซึ่งกัลฟ์มีศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ช่วยให้ Web3 เติบโต จะสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยเติบโต ก้าวทันโลกผ่านจำนวนลูกค้าเอไอเอสกว่า 42 ล้านเลขหมาย
นายนิรันดร์กล่าวว่า การดำเนินงานมี 5 กลยุทธ์ คือ 1.ให้ความสำคัญโดยโฟกัสลูกค้า ถือเป็นหัวใจ 2.กำหนดแผนและพัฒนาให้ชัดเจน 3.คอมมูนิตี้ ต้องสร้างองค์ความรู้ กระตือรือร้น เพื่อผลักดันให้ใช้งานแพร่หลาย 4.สร้างความรู้ความเข้าใจ ด้วยการที่สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งใหม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องสร้างความรู้ถึงประโยชน์และความเสี่ยงของสินทรัพย์ 5.การกำกับดูแล โดยต้องทำตามกฏ ระเบียบ ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ผลักดันด้วยกัน
“ตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 การลงทุนด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะไม่ใช่แค่ซื้อขายอย่างเดียว แต่ต้องสร้างอีโคซิสเต็มบล็อกเชน ผ่านการทำแอพพลิเคชั่น พาร์ตเนอร์ องค์กร ภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา เพื่อสร้างความรู้โดยได้รับการสนับสนุนจากไบแนนซ์ ซึ่งไทยติดอันดับ 10 ของโลก แต่ประชากรเข้าถึงแค่10% อุปสรรคคือความเข้าใจ ต้องสร้างความเข้าใจในอุตสาหกรรมนี้ คริปโทเปิด 24 ชั่วโมง ต่างจากการซื้อขายหุ้น ต้องใช้เวลาพูดคุยให้ความรู้ จะสร้างสิ่งใหม่ได้อีกมากมาย” นายนิรันดร์กล่าว
ด้าน นายริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าวว่า ในฐานะผู้นำของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกมองว่าคริปโทเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และกัฟล์ถือเป็นหุ้นส่วนเข้มแข็งเป็นผู้นำด้านพลังงาน สื่อสารและข้อมูล เมื่อผู้นำทั้งคู่มาร่วมกันจะสร้างมูลค่าอีกเยอะ ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีคนมองว่าเสี่ยงทั้งที่จริงอาจเข้าใจผิด โดยบิตคอยน์มูลค่าจะไปถึง 2 แสนดอลลาร์ในปีนี้ ขณะที่ไบแนนซ์มีใบอนุญาตมากสุดจากหน่วยงานกำกับดูแล 18 ประเทศ ดังนั้นจะนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้จริงเพื่อเปลี่ยนชีวิตคนไทย
“ไทยโชคดีเพราะมีความครอบคลุมด้านการเงิน หลายประเทศไม่มีวิธีชำระเงินที่ดี การโอนเงินธนาคารยังคิดค่าโอนที่แพง คริปโททำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระบบกระจายศูนย์กลาง มีจุดแข็งมากมาย หลายประเทศลดค่าเงินจำนวนมาก แต่คริปโทเก็บมูลค่าได้หลายปี ช่วยให้ชีวิตคนดีขึ้นทั่วโลก จะเห็นประโยชน์มากมาย มองว่าไม่ช้าเกินไปที่จะเรียนรู้ และไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่มต้น” นายริชาร์ดกล่าว
