สถานการณ์ตึงเครียดอิหร่าน-อิสราเอล ฉุดหุ้นไทยทิ้งตัวติดลบ 30 จุด หลังหยุดยาวสงกรานต์

สถานการณ์ตึงเครียดอิหร่าน-อิสราเอล ฉุดหุ้นไทยทิ้งตัวติดลบ 30 จุด หลังหยุดยาวสงกรานต์

วันที่ 17 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายดัชนีหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,396.38 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,366.94 จุด ปรับลดลง 29.44 จุด หรือลบ 2.11% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,380.12 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,363.44 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 62,382.11 ล้านบาท

โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับลดลงอย่างร้อนแรงกว่า 30 จุด ถือเป็นภาพตามตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่ ตลาดหุ้นไทยปิดทำการหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ 12% ทำให้ตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องปรับตัวลงตามด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะมีน้ำหนักในการลงทุนมากเกินไป ในแง่ของตะกร้าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เป็นเรื่องของการปรับสมดุลบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอ ตอบรับความกังวลในตะวันออกกลาง ผลกระทบอิหร่าน-อิสราเอล ที่มีความตึงเครียดมากขึ้น โดยให้แนวรับที่ระดับ 1,360-1,365 จุด แนวต้านระดับ 1,375-1,380 จุด คาดว่าช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้อีก 2 วันทำการ ดัชนีจะดีดตัวขึ้นมาได้ หลังจากมีแรงขายออกมาจนดัชนีปรับลดลงแรงแล้ว

“มีหุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นเอ็กซ์ดี (ซื้อหลังจากนี้จะไม่ได้รับปันผล) ได้แก่ เอสซีบี ทีทีบี เคทีบี ซึ่งมีผลกระทบดัชนีรวมกันประมาณ 4 จุด และน่าจะมีเรื่องของมาร์จิ้นที่ถูกมาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ในด้านอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับหุ้น ทำให้แรงซื้อลดลง โดยหากดัชนีหุ้นปรับลดเกิน 1% ก็จะมีตัวหุ้นโดนมาร์จิ้นคอล หากไม่มีการเติมเงินเข้าไปก็จะปิดสถานะแล้วถอยออกมาก่อน ทำให้แรงซื้ออาจต้องรอดูสัปดาห์ถัดไปทีเดียว เพราะทิศทางตลาดยังเป็นลบอยู่ ทำให้มีแต่แรงขายออกในช่วงนี้ โดยจังหวะของการเข้าซื้อสะสมหุ้นในตอนนี้ ถือเป็นระดับที่ไม่แพง กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เน้นหุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 1/2567 จะออกมาดี อิงการเติบโตในประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อย เพราะจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด” นายณัฐพล กล่าว

Advertisement

นายณัฐพล กล่าวว่า ด้านปัจจัยกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น มองผลต่อตลาดหุ้นไทยเป็นกลาง เพราะเป็นการปรับขนาดเล็กไม่ได้ปรับใหญ่มากนัก ในแง่ของกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ อย่างกระทรวงการคลังก็ดูดีขึ้น หากเป็นนายพิชัย ชุณหวชิร ที่เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาดูแล เพราะเป็นมือเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีความเข้าใจในเรื่องตลาดทุนด้วย รวมถึงเข้าใจเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดแรงปะทะระหว่างนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงใดเท่านั้น

นายณัฐพล กล่าวว่า ด้านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญอย่าง การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น ถือเป็นความพยายามในการจัดหางบประมาณมาทำโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นการหาแหล่งเงินทุนที่ไม่ต้องผ่านสภา หากเป็นการกู้หรือยืมจากธนาคารธกส. ก็จะจัดหาได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการกฎหมายที่ยุ่งยาก แต่ในแง่ของการคืนหนี้ที่จัดหามาในช่วงหลังจากนี้ ต้องติดตามดูว่าการใช้คืนหนี้ของรัฐบาลจังหวะจะเป็นอย่างไร เพราะการจะคืนหนี้ของรัฐบาลจะต้องใช้ในส่วนของการออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งการออกพันธบัตรนี้ จะเป็นการดูดซับสภาพคล่องให้หายไปด้วย การใช้งบประมาณปี 2567 และปี 2568 บางส่วน จะทำให้งบลงทุนถูกกระทบ มีผลกระทบต่อหุ้นบางกลุ่ม อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่เดิมคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการของรัฐได้ดีขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image