ปั้นไทยผู้นำ‘แพลนต์เบสฟู้ด’ สู่ครัวอาหารสุขภาพของโลก

ปั้นไทยผู้นำ‘แพลนต์เบสฟู้ด’
สู่ครัวอาหารสุขภาพของโลก

จากแนวโน้มการบริโภคของผู้คนทั่วโลกยังให้ความสำคัญในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

เรื่องนี้ วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทยและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กางผลวิเคราะห์อนาคตอาหารจากพืช (แพลนต์เบส) กล่าวว่า

เมื่อย้อนรอยดูเทรนด์อาหารตั้งแต่ปี 2543 ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ ต่อมากระแสการบริโภคอาหารจากพืช (Plant-based Food) มีความชัดเจนขึ้นในปี 2554 และกลายเป็นกระแสที่ได้รับ การพูดถึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญ ให้เกิดการตื่นตัวของอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะเทรนด์การบริโภค Plant-based Food ที่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นในท้องตลาด เช่น เนื้อจากพืช (Plant-based Meat) นมทางเลือกจากพืช (Plant-based Milk) หรือแม้แต่ขนม หรือของทานเล่นจากพืช (Plant-based Snack) โดยปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสินค้ากลุ่ม Plant-based Food กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากการมีผู้ประกอบการรายใหญ่ รายเล็ก รวมไปถึงร้านค้าปลีก ต่างตบเท้าเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดโลกกันอย่างคึกคัก

⦁สินค้าอาหารจากพืชบูม

ADVERTISMENT

ในปี 2566 สินค้ากลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) และ Plant-based Food ยังคงได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ถึงแม้ว่ายอดขายของ Plant-based Protein จะลดลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงดาวรุ่ง เนื่องจากได้รับกระแสการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมากจากปัจจัยเร่งต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระแสหลายอย่างเริ่มเบาบางลง อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เริ่มฟื้นตัว กระแสการโฆษณาที่ลดลง รวมถึงการตื่นตัวของผู้บริโภคที่อยากลองสินค้ารูปแบบใหม่เริ่มลดลงหลังจากที่ได้ลองรับประทานสินค้ากลุ่ม Plant-based Food แล้ว ทำให้ในปี 2567 นี้ เราจะได้เห็นความสนใจจริงๆ ของผู้บริโภคกลุ่มสินค้า Plant-based Protein จะให้ความสำคัญในการเลือกรับประทานจากองค์ความรู้ โภชนาการ รสชาติ และราคาที่เข้าถึงได้

ดังนั้น ปีมังกรทอง 2567 นับเป็นช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นของโปรตีนทางเลือกจากพืช ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายและรับมือหาแนวทางในการผ่านพ้นช่วงที่แนวโน้มกระแสและยอดขายลดลง จากความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะปัจจัยด้านราคา รสชาติ และเนื้อสัมผัส ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในตลาดของผลิตภัณฑ์ Plant-based Food ในช่วงที่ผ่านมา สร้างโอกาสจากศักยภาพที่มี หนึ่งในแนวทางสำคัญจะยกระดับอุตสาหกรรม Plant-based Food คือ การเพิ่มสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศ ในอดีต เราบริโภค Plant-based Food ในรูปแบบของ Plant-based Meat, Plant-based Milk และ Plant-based Snack ในบางโอกาส เช่น เทศกาลกินเจ หรือรับประทานมังสวิรัติ งดการบริโภคเนื้อสัตว์วันสำคัญ เช่น วันพระ วันเกิด เดือนเกิด เป็นต้น โดยปี 2566 สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย จึงเริ่มแคมเปญ เว้นเดย์ วัน Wednesday เชิญชวนให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในธุรกิจอาหาร ทั้งร้านอาหาร โรงอาหาร โรงเรียน โรงแรม โรงพยาบาล เพื่อรณรงค์บริโภคอาหารอนาคตกันทุกวันพุธ ซึ่งมีกว่า 20 แบรนด์ร่วม แคมเปญและมีผู้ร่วมโครงการอย่างกว้างขวาง

Plant-based Food ยังมีความท้าทายอีกหลายประการ เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อพุ่งสูง รวมถึงราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ล้วนส่งผลต่อต้นทุนการผลิต กระทบถึงราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้ากลุ่ม Plant-based Food มีความหลากหลายและจำหน่ายในท้องตลาดมาก แต่ความต้องการบริโภคยังไม่มาก บางกลุ่มยังกังวลเรื่องส่วนผสมและกระบวนการผลิต ดังนั้น การก้าวข้ามผ่านความท้าทายและปรับตัวสู่ S Curve ได้นั้น ต้องปรับปรุงกลยุทธ์ทางการค้าและปรับตัวใน อาทิ ปรับปรุงรสชาติ ลดส่วนประกอบของส่วนผสมปรุงแต่งให้น้อยลง นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการผลิต ดังนั้น ปี 2566 จึงเห็นการปรับตัวของอุตสาหกรรม Plant-based Food อย่างมากในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคเอเชียแปซิฟิก 45% ให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการอาหารและเป็นปัจจัยสำคัญใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ

ยกตัวอย่าง บริษัท แพลนท์ แอนด์ บีน (ประเทศไทย) เป็นการลงทุนโดยบริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด เกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิค (เอเซีย) บริษัทลูกของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) สัดส่วน 50% กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ เป็นบริษัทลูกของบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) สัดส่วน 50% ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา บริษัทวางเป้าหมายเป็นฐานการผลิต Plant-based Food ของโลก ด้วยมองเห็นโอกาสมูลค่าตลาด Plan-based Protein ของโลก ปัจจุบันอยู่ที่ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหลักคือยุโรปและสหรัฐรวม 75% เอเชีย 18% ส่วนมูลค่าตลาด Plant-based Protein ของไทย อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของตลาดโลก แต่ไทยมีจุดเด่น คือ เป็นครัวของโลก มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและรสชาติอร่อยขึ้นชื่อระดับโลก

อีกตัวอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยแผนดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ Plant-based Meat ภายใต้แบรนด์ Meat Zero วางงบประมาณกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้ความสำคัญกับการผลิต สร้างโรงงานย่านมหาชัย ตอบรับกำลังการผลิตกว่า 12,000 ตัน/ปี ทั้งร่วมทุนกับยุโรป เสริมกำลังการผลิตอีก 9,000 ตัน/ปี และเน้นสร้างแบรนด์ไปทั่วโลก

อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ผ่านกิจกรรมต่างๆ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยและคู่ค้าทั่วโลก อาทิ จัดกิจกรรม Business Matching การจับคู่ธุรกิจทางการค้า ที่ผ่านมาในงาน SEOUL FOOD & HOTEL หรืองาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023 ที่สร้างมูลค่าการซื้อขาย 120,002 ล้านบาท เพิ่ม 81.36% จากปีก่อน อีกทั้งที่จะเกิดขึ้นคือ งาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 กำหนดจัด 28 พฤษภาคม-1 มิถุนายนนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Beyond Food Experience” งานใหญ่ระดับโลกที่จะช่วยผลักดันการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทย

⦁โอกาสการเป็นดาวรุ่ง

อนาคตของสินค้า Plant-based Food ยังมีโอกาสทั้งในและต่างประเทศ ในอนาคตจะเห็นสินค้า Plant-based Food เป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการไทย ปรับปรุงรสชาติ ราคา รูปแบบ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น คาดการณ์ตลาดของ Meat Alternatives ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% ตลาดหลักอยู่ที่ยุโรป เอเชียแปซิฟิก และอเมริกาเหนือ ในปี 2566 มูลค่าตลาดของเนื้อสัตว์จากพืชทั่วโลก มีมูลค่า 10.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะสูงถึงประมาณ 16.78 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2571

Plant-based Milk เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่แพ้น้ำตาลแล็กโทส ที่เกิดจากการย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ เป็นอาการทางเดินอาหารหลังจากดื่มนมวัว หรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมวัว รวมถึงผู้ที่รับประทานมังสวิรัติแบบวีแกนได้มีทางเลือก จึงทำให้ Plant-based Milk ได้รับความนิยมมากทั้งในไทยและทั่วโลก

แนวโน้มการเติบโตของตลาดนมจากพืชในไทย คาดเติบโตต่อปี 4% จากปี 2567 คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 19,926 ล้านบาท ขณะที่ขนาดตลาด Plant-based Milk ทั่วโลก มีมูลค่า 29.18 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเติบโตเฉลี่ยต่อปี 12.6% เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น และจำนวนของผู้มีอาการแพ้แล็กโทสเพิ่มขึ้น โดยนมถั่วเหลืองครองตลาดเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน ส่วนนมอัลมอนด์กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่เยาวชน ยังมีนมจากพืชอีกหลายประเภท อาทิ นมข้าวโอ๊ต นมข้าวกล้อง นมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ กะทิ ได้รับความนิยมทั่วโลกเช่นกัน ตลาดหลักของผลิตภัณฑ์ Plant-based Milk คือ เอเชียแปซิฟิกครองรายได้กว่า 45% ตามด้วยอเมริกาเหนือ และยุโรป

ส่วน Plant-based Snack คาดมีมูลค่า 36,083 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 76,186.6 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2576 เติบโตเฉลี่ยต่อปี 8% ความนิยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพ ทำจากธรรมชาติอร่อย การขยายตัวของกลุ่มอาหารวีแกนในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล

⦁เป้าไทยครัวอาหารสุขภาพโลก

จะเห็นได้ว่า ชีพจรของ Plant-based Food แต่ละกลุ่มยังคงเต้นได้แข็งแรงดี แม้ความท้าทายในอนาคตยังคงมีอยู่ จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และภัยธรรมชาติ ภาพรวมตลาดยังมีโอกาสเติบโตจากการที่ผู้บริโภคยังคงใส่ใจ สุขภาพ อีกทั้งจำนวนประชากรมังสวิรัติและวีแกนเพิ่มขึ้นทั่วโลก คาดปี 2566 ประชากรโลกประมาณ 22% เป็น
กลุ่มผู้บริโภคมังสวิรัติและวีแกน นอกจากนี้ แนวโน้มประชากรโลกกำลังเพิ่มขึ้นคาดถึง 9 ล้านคนในปี 2593 เป็นปัจจัยหนุนตลาดอาหารจากพืชเติบโตได้ไม่ยาก ดังนั้น เป้าหมายปี 2567 คือความพยายามลดต้นทุนการผลิต กระตุ้นความต้องการของตลาด การสร้างความเข้าใจให้ผู้บริโภค และหาแนวทางเข้าถึงสินค้าผลิตภัณฑ์ Plant-based Food ให้ง่ายและมากขึ้น

ซึ่งปัจจัยข้างต้น ย่อมส่งผลให้ประเทศไทยเป็นฮับของการผลิต Plant-based Food เป็นครัวอาหารสุขภาพของโลก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image