เอสเอ็มอีไทยชี้รัฐบาลปรับครม.ตั้งใจแก้เศรษฐกิจ ฝากการบ้าน5ข้อ

เอสเอ็มอีไทยชี้รัฐบาลปรับครม.ตั้งใจแก้เศรษฐกิจ ฝากการบ้าน5ข้อ

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา 1/1 เมื่อวันที่ 30 เมษายน ว่า สายการปรับครม.ที่การเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือสายเศรษฐกิจ โดยมีการดึงนายพิชัย ชุณหวชิร เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เข้ามาเพิ่ม ร่วมกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ทั้งนี้ หากมองในมุมของสายเศรษฐกิจ ฝั่งเอสเอ็มอีมประเมินได้ว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีภารกิจต้องดูแลทั้ง ครม. ขณะที่งานเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบันต้องมีความเข้มข้น รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบ และมีเวลาค่อนข้างมากในการดูแลแก้ปัญหา

“นายพิชัย และนายเผ่าภูมิเองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องตลาดทุน โดยเอสเอ็มอีมีความคาดหวังว่า เมื่อมองภาพรวมแล้วต้องการให้รัฐมนตรีสายเศรษฐกิจมองภาพย่อลงมาถึงเศรษฐกิจฐานรากด้วย”นายแสงชัยกล่าว

นายแสงชัย กล่าวว่า เอสเอ็มอีคาดหวังว่าจะมีนโยบายที่จะทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน การคลัง มีการออกแบบมาตรการที่ตอบโจทย์ในการกระตุ้น และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจริงให้กับเศรษฐกิจฐานราก และประชาชน โดยมีภารกิจที่ยังรอการแก้ไขและสานต่ออีกหลายเรื่อง ประกอบด้วย 1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งสูงถึงระดับ 91% ของจีดีพี ถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นต้องมีกลไกล หรือมาตรการยกระดับเรื่องของการเงินทั้งระบบ 2.โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เอสเอ็มอีหลายภาคส่วนมองว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี แต่วิธีการหรือที่มาของเงินยังทำให้เกิดความกังวล เข้าใจดีว่ารัฐบาลต้องทำตามกฎหมาย และแหล่งที่มาของเงิน ไม่ต้องการให้เป็นภาระไปกดดันรัฐบาลเอง หรือทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในการเป็นหนี้ระยะยาว เพราะสิ่งที่รัฐบาลขาดอยู่ คือแผนที่นำทาง หรือโรดแมปปัจจุบันไม่ชัดเจน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ อาจต้องทำความเข้าใจ สื่อสารเชิงรุกกับประชาชนว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะทำอะไรเป็นข้อๆที่ชัดเจนสำหรับกระบวนการที่จะทำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจรวมข้อเสนอแนะของเอกขน สื่อมวลชน ประชาชน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่นำเสนอเรื่องต่างๆที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลมาปรับ หรือนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการดิจิทัลวอลเล็ต

Advertisement

นายแสงชัย กล่าวว่า เอสเอ็มมีความคิดเห็นตรงกันคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรพัฒนากำลังคน พัฒนาเรื่องการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อให้เกิดรายได้ที่สูงขึ้น นำมาสู่ความยั่งยืนในส่วนของผู้ว่างงาน หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 15 ล้านคน อาจพัฒนาให้เป็นกำลังแรงงานที่มีคุณภาพ มีผลิตภาพ หรือมาทำเป็นอาชีพอิสระ หรือเป็นเอสเอ็มอี หรือหากเป็นเกษตรกรจะต้องพัฒนาไปสู่สายอาชีพที่เป็นผู้ประอบการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเกษตร เอสเอ็มอี หรืออาชีพอิสระ

นายแสงชัย กล่าวว่า 3.ควรจะต้องมีมาตรการเรื่องการทบทวนดอกเบี้ย และเงื่อนไขหลักประกันของพิโก้ไฟแนนซ์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังควรไปศึกษา และทบทวนพิโกไฟแนนซ์ ควรมีเรื่องความเป็นธรรมของดอกเบี้ย เวลานี้มีเพดานที่ 36% ต่อปี ปรากฎว่าเงื่อนไขการมีหลักประกันกับไม่มีหลักประกันมีความขัดแย้งกันอยู่ เหตุใดถึงออกแบบให้เป็นอย่างนั้น 4.มองว่าปัจจุบันยังมีการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด เช่น บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือบสย. ซึ่งค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี โดย บสย.ควรค้ำประกันให้กับสถาบันการเงินของรัฐ ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นเอกชน ทำให้กรณีที่ควรจะได้รับการค้ำประกันทั้ง 100% ได้เพียง 80% หรือน้อยกว่า และทำให้บางส่วนเข้าไปถึงกลไกดังกล่าวได้ยาก กระทรวงการคลังต้องทบทวนการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ให้ดำเนินการเฉพาะสถานบันการเงินของรัฐ และอาจจะขยายไปช่วยเรื่องกองทุนได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่เงินต้นทุนต่ำของเอสเอ็มอี และ5.กระทรวงการคลังต้องหากลไกลในการผลักดันให้ธปท. กำกับสถาบันการเงินให้มีแนวปฏิบัติ หรือเกณฑ์รองรับในการคำนวณดอกเบี้ย และความเสี่ยงกับลูกค้า เพราะมีผลกับเอสเอ็มอีเรื่องเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่อง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐา 1/1 โดยเฉพาะการปรับ รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ มองว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างกระทรวงการคลัง ที่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยทั้งหมด ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เป็นรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด เชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ได้ นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มองว่า เป็นเรื่องดี เพราะมีภารกิจใหญ่ในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก จะได้ช่วยงาน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

Advertisement

นายพจน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องน่าเป็นห่วง คือ กรณี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมารับตำแหน่งและร่วมงานกับภาคเอกชนผลักดันการค้ากานลงทุนรวมไปถึงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพราะประเทศไทยอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยงมากในด้านภูมิยุทธศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ รวมไปถึงความขัดแย้งต่างๆ เพราะฉะนั้นบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการวางจุดยืนของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะหาบุคคลที่เหมาะสมในการมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ส่วนกระทรวงอื่นมองว่าเป็นเหล้าเก่าในแก้วใหม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image