เฟดคงอัตราดอกเบี้ยมะกัน สูงสุดรอบ 23 ปี ชี้คุมเงินเฟ้อไม่คืบหน้า
ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ประกาศคุมอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมในการประชุมครั้งที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 23 ปีของสหรัฐ โดยให้เหตุผลว่ายังคงห่วงกังวลกับอัตราเงินเฟ้อ
หลังการประชุมนาน 2 วัน เฟดได้ตัดสินใจด้วยคะแนนเอกฉันท์ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ 5.25%-5.50% โดยให้เหตุผลว่ายังขาดความคืบหน้าเพิ่มเติมในการลดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดตั้งเป้าไว้ที่ 2%
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และคณะกรรมการยังคงให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออย่างมาก เฟดจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงจนกว่าจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนไปสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า มีแนวโน้มว่ากว่าที่จะได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น เราอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เขายังบอกด้วยว่าเฟดพร้อมที่จะรับมือกับตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงอย่างไม่คาดคิดด้วย
อย่างไรก็ดี เฟดเตรียมที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้นานตราบเท่าที่เห็นว่าเหมาะสม แต่พาวเวลล์เสริมว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่การประชุมครั้งต่อไปจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ไรอัน สวีท นักเศรษฐศาสตร์จากออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ กล่าวว่า การตัดสินใจของเฟดไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากแนวโน้มทั่วไปที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้อย่างมีนัยสำคัญว่า เฟดน่าจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายน อย่างไรก็ดี มันขึ้นกับการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์ยังคงเชื่อว่า ประตูของการที่เฟดจะประกาศลดดอกเบี้ยในปีนี้ยังคงเปิดอยู่เช่นเดิม
ทั้งนี้ เฟดได้ระบุถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ แต่อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีความร้อนแรงทำให้การคาดการณดังกล่าวมีความไม่แน่นอนตามมา
จากความเป็นไปได้ที่ลดน้อยลงเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยตรงกับช่วงก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการแข่งขันสำคัญดังกล่าว
ช่วงเวลาที่อาจสอดประสานกลับทำให้เฟดไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเฟดพยายามที่ไม่ดำเนินการใดๆ ที่ทำให้ดูเหมือนจะมีการเมืองมาเกี่ยวข้อง
เมื่อถูกถามว่า การเลือกตั้งจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ พาวเวลล์กล่าวว่า “ผมขอย้ำว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน” พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า นี่คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ 4 ที่เขาเจอ “ย้อนกลับไปดูมันทั้งหมด แล้วดูว่ามีใครเคยพูดถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจของเราแม้แต่น้อย”