อสังหาฯถอดรหัส ‘ค่าแรง 400’ เอฟเฟ็กต์ราคาบ้าน-คอนโดดีด 3 %

อสังหาฯถอดรหัส‘ค่าแรง400’ เอฟเฟ็กต์ราคาบ้าน-คอนโดดีด3%

ท่ามกลางกระแสการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นอัตราเดียว 400 บาททั่วประเทศปลายปี 2567 มีทั้งเสียงหนุนและเสียงคัดค้านดังสนั่น ทั้งลูกจ้างและนายจ้างของหลากธุรกิจ หลากวงการ

มาดูในมุมสะท้อนจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดย ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเหรียญสองด้าน คือ กระทบต้นทุนสูงขึ้นสำหรับบ้านที่สร้างล็อตใหม่ แต่ในขณะเดียวกันช่วยประคองเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้คนมีรายได้เพิ่ม ซึ่งรัฐบาลเองก็ต้องหาวิธีการและหาจุดสมดุลว่าอยู่ตรงไหน

ด้าน ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ส่งผลต่อราคาบ้านประมาณ 2-3% เนื่องจากค่าแรงคิดเป็น 30% ของค่าก่อสร้าง แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจและตลาดในขณะนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบการคงยังไม่ปรับราคาขายขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อค่าแรงสูงขึ้น จะทำให้มีการย้ายฐานผลิตไปที่อื่นมากกว่า ปัจจุบันพบว่าโซนรังสิตและสมุทรปราการเริ่มมีโรงงานย้ายออกไปบ้างแล้ว ทำให้กำลังซื้อบ้านโซนนี้หายไปจำนวนมากในกลุ่มระดับราคาต่ำ 3 ล้านบาท

“ถามว่าระหว่างการขึ้นค่าแรงกับอัตราดอกเบี้ย อย่างไหนน่าห่วงมากกว่ากันนั้น ผมมองว่าน่าห่วงพอๆ กัน แต่ดอกเบี้ยจะทำให้คนซื้อบ้านลำบากมากกว่า ส่วนค่าแรงจะทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น” ปิยะกล่าว

ขณะที่ในมุมของ โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สจำกัด (AREA) มองว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน ก็ยังสามารถที่จะทำได้ หลังได้ลองคำนวณดูแล้วว่า ถ้าค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มเป็น 450 บาท สูงกว่า 400 บาทที่รัฐบาลเสนอ จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นมากจริงหรือไม่นั้น

ADVERTISMENT

โดยได้มีการคำนวณอย่างง่ายและเข้าใจได้ง่ายๆ เริ่มจาก 1.สมมุติบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งมีราคา 3 ล้านบาท 2.ปกติส่วนแบ่งระหว่างราคาที่ดินและราคาบ้าน คือ 2:1 ดังนั้นตัวบ้านจะมีราคาประมาณ 1 ล้านบาท 3.ใน 1 ล้านบาทของราคาบ้าน เราสามารถแยกเป็นค่าแรงและค่าวัสดุ โดยจะเป็นค่าแรงเพียง 200,000-300,000 บาท สมมุติเป็น 300,000 บาท หรือ 30% ที่เหลือก็คือค่าวัสดุก่อสร้าง

4.ถ้าค่าแรงเพิ่มจาก 353 บาทในปัจจุบันเป็น 450 บาท ก็เท่ากับเพิ่มขึ้น 27% สมมุติให้เป็นตัวเลขกลมๆ เพิ่มขึ้น 30% ก็จะทำให้ค่าแรงในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น จาก 300,000 บาท เป็น 390,000 บาท หรือสมมุติเป็น 400,000 บาท 5.ดังนั้นการที่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 450 บาท จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นจาก 3 ล้านบาท เป็น 3.1 ล้านบาทเท่านั้น หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ไม่ได้เพิ่มขึ้นมหาศาลตามที่เข้าใจแต่อย่างไร

6.หากสมมุติให้ค่าวัสดุอยู่ที่ 700,000 บาท ซึ่งในนั้นอาจมีค่าแรงอยู่ 20% หรือประมาณ 140,000 บาทด้วย หากส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีก 30% เท่ากับเพิ่มเป็น 182,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 42,000 บาท จะส่งผลให้ราคาบ้านโดยรวมเพิ่มจาก 3 ล้านบาท เป็น 3.142 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.7% เท่านั้น 7.สรุปแล้วด้วยเหตุนี้ราคาบ้านจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะค่าแรงแต่อย่างใด

“โสภณ” ยังกล่าวด้วยว่า ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ ในวงการก่อสร้างนั้น แรงงานเมียนมามีค่าจ้างแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำมานานแล้วอย่างเช่น กรรมกรที่เพิ่งมาทำงานได้ค่าแรง 500-550 บาท/วัน ช่างได้ค่าแรง 600-700 บาท/วัน ช่างกระเบื้องได้ค่าแรง 750-800 บาท/วัน ช่างในงานสถาปัตยกรรมได้ค่าแรง 1,000-1,200 บาท/วัน

ดังนั้นเรื่องที่ค่าแรงเพิ่มจาก 353 บาท เป็น 450 บาท จะทำให้ค่าแรงแพงขึ้นจึงไม่ใช่ เนื่องจากต่อให้เมื่อมีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จะทำให้ค่าแรงคนงานเมียนมาในวงการก่อสร้างเพิ่มขึ้น คงเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนการที่จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นแบบมีนัยสำคัญ จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเช่นกัน

สำหรับราคาบ้านที่ปรับเพิ่มสูงมากขึ้น “โสภณ” แจกแจงว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าขนส่งแพงขึ้น และค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศไทยยังมีบ้านที่สร้างเสร็จ แต่ไม่มีคนอยู่อาศัย เนื่องจากซื้อไว้เก็งกำไร และเมื่อรวมบ้านในมือของประชาชนทั่วไปที่เป็นบ้านมือสองรวมกันนับล้านหน่วยแล้ว ดังนั้นต่อให้วัสดุก่อสร้างเพิ่มราคามหาศาล ค่าแรงเพิ่มอีกมาก ดังเช่นช่วงที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตค่าเงินบาท ยังมีบ้านมือสองให้บริการขายให้แก่ประชาชน ในราคาที่ถูกกว่าบ้านมือหนึ่งอีกจำนวนมาก การส่งเสริมการซื้อบ้านมือสอง จึงทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในหมู่ประชาชนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ “โสภณ” กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันแรงงานที่ได้ค่าแรงเกินกว่า 400 บาทต่อวัน เป็นแรงงานมีฝีมือ แต่เมื่อค่าแรงขั้นต่ำขึ้น ก็ต้องปรับขึ้นไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการลาออกไปทำงานที่อื่นที่นายจ้างให้มากกว่า นอกจากนี้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้แรงงานข้ามชาติได้ประโยชน์ ซึ่งในประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องจริง เนื่องจากงานหนักส่วนใหญ่เป็นงานของแรงงานข้ามชาติเป็นสำคัญ แต่อาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่สร้างทุกวันนี้ ก็มาจากผลงานของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ ดังนั้นในมุมมองส่วนตัว เราจึงควรจูงใจให้พวกเขาทำงานให้ได้มากและดีกว่านี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ร่วมกันมากกว่าจะให้ประโยชน์แก่นายจ้างฝ่ายเดียว

“ในวงการที่อยู่อาศัย โดยที่ยังมีบ้านและห้องชุดรอขายเหลืออยู่ 1.3 ล้านหน่วยทั่วประเทศ จึงทำให้ราคาบ้านคงไม่ขึ้น เพราะยังมีอุปทานมากเกิน การขึ้นค่าแรงน่าจะส่งผลให้ความสามารถในการซื้อบ้านของประชาชนมากขึ้นได้ ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สามารถดูดซับจำนวนบ้านล้นเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย” โสภณกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image