‘พิชัย’ ถกผู้ว่าแบงก์ชาติชื่นมื่น เร่งอุ้มเอสเอ็มอี ช่วยเข้าถึงสินเชื่อ-แก้หนี้ แย้มรื้อกรอบเงินเฟ้อ-ปรับดอกเบี้ย ขณะที่ดีเซลขยับขึ้น 31.94 บ./ลิตร
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่กระทรวงการคลัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นัดหารือกับ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใช้เวลาหารือราว 2 ชั่วโมง
นายพิชัยกล่าวว่า หารือกับผู้ว่าการ ธปท.อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อทำความเข้าใจตรงกันในเรื่องนโยบายการเงิน ใน 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเรื่องที่ ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นผู้กำหนดโดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ เพื่อดำเนินนโยบายตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตกลงกันไว้ 1-3% ส่วนปีนี้จะปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือไม่นั้น ต้องคุยกันอีกครั้งเพื่อหาข้อยุติ
นายพิชัยกล่าวว่า 2.การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเห็นตรงกันเมื่อปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ตามที่ตกลงกันก็นำไปสู่การพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบันปัญหาของประชาชน และภาคธุรกิจ ที่รัฐบาลมีความเป็นห่วง คือการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่กว่า
“แลกเปลี่ยนกันหลายเรื่องว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อย ธุรกิจเอสเอ็มอี รวมทั้งกลุ่มมีปัญหาหนี้จากช่วงโควิด ซึ่งยังมีเรื่องที่สามารถปรับปรุงหรือมีความยืดหยุ่นในการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกประกาศถึงสถาบันการเงิน เพื่อกำหนดเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า ส่วนจะมีการปรับเกณฑ์ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) หรือไม่นั้น เกณฑ์ดังกล่าวเป็นมาตรฐานระดับโลก ทำให้ภาคการเงินของไทยเข้มเข็ง โดยคลังมองว่าอาจต้องเพิ่มความยืดหยุ่นในบ้างข้อและดึงส่วนนี้ออกมาใช้ เพื่อช่วยให้รายย่อยเข้าถึงเงินทุน ซึ่งใช้เงินเล็กน้อย เมื่อเทียบกับพอร์ตแต่ละแบงก์ที่มีประมาณ 4 ล้านล้านบาท เชื่อว่าไม่กระทบเรื่องการปล่อยสินเชื่อตามเกณฑ์ปกติ เชื่อว่าหลังจากคุยกันแล้ว จะมีการสร้างความยืดหยุ่นให้คนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่งผู้ว่าการ ธปท.เองเห็นด้วยกับปัญหาขาดสภาพคล่องของรายย่อย
นายพิชัยกล่าวว่า ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ธปท.ต้องมีการทบทวน ซึ่ง ธปท.จะมีอิสระทางความคิด และเลือกทางออกมาดีที่สุด แต่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องมามองมากกว่านี้ คือ เรื่องหนี้เสีย สภาพคล่องที่คนไทยยังเข้าไม่ถึง และหนี้ภาคครัวเรือน เป็นเรื่องที่สถาบันการเงินและแบงก์รัฐต้องร่วมกันแก้ไข หลังจากนี้ต้องกลับไปทำการบ้าน โดยอยู่ภายใต้โจทย์ต้องช่วยให้คนเข้าถึงแหล่งเงินได้เร็วที่สุด และสิ่งที่คลังและ ธปท.เห็นคล้ายกัน คือ ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
“หลังจากนี้เราคงมาคุยกันบ่อยขึ้น ครั้งต่อไปอาจไม่ต้องนัดเจอกัน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงนัดที่กระทรวงการคลัง คุยกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนครั้งต่อไปขอเวลาทำงานก่อน แต่ถ้ามีความคืบหน้าจะนัดคุยกันอีกสักรอบ เพื่อหาข้อยุติ สรุปแล้วทั้งคลังและ ธปท.ต้องกลับไปทำการบ้าน”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า การพูดคุยกันครั้งนี้ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะโดยส่วนตัวรู้จักกันดี เนื่องจากตนเคยเป็นกรรมการของแบงก์ชาติและยังเป็นกรรมการร่วมกันอีกหลายแห่ง เคยเจอกันบ้าง มองว่านายเศรษฐพุฒิเป็นคนที่เก่ง เมื่อคุยกันแล้ว ต้องพร้อมใจที่จะแก้ไขปัญหา เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หลังจากการหารือแล้วนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังจะต้องสอดประสานกันมากที่สุด
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน มีมติลดลดอัตราเงินชดเชยประเภทน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 2.58 บาทต่อลิตร เป็น 1.94 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกประเภทน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็น 31.94 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2567