รฟท.ลุยประมูลทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย 167 กม. พร้อมชงอนุมัติอีก 5 เส้นทาง 1,123 กม.

รฟท.ลุยประมูลรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย 167 กม. มิ.ย. เดินหน้าชงอนุมัติอีก 5 เส้นทาง 1,123 กม.

วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการรถไฟระหว่างเมือง ครั้งที่ 1/2567 โดยมีผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 และทางสายใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง การเตรียมประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตรในเดือนมิถุนายน 2567

รวมทั้งการขออนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง รวมระยะทาง 1,123 กิโลเมตร ได้แก่ 1. ช่วงปากน้ำโพ – เด่นชัย 2. ช่วงชุมทางถนนจิระ -อุบลราชธานี 3. ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ 4. ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี และ 5. ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา

ซึ่งเตรียมเสนอคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ด รฟท.) พิจารณาอีกครั้งก่อนเสนอกระทรวงคมนาคม โดยที่ประชุมมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาเสนอขออนุมัติโครงการตามลำดับความสำคัญ

ADVERTISMENT

ดร.พิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบาย Quick Win “คมนาคม ของประชาชน” ให้เกิดความต่อเนื่อง มีความเชื่อมโยงระหว่างระบบขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศกับระบบขนส่งอื่น ๆ ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งพร้อมกับขยายขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของไทยกับนานาชาติ

ซึ่งการประชุมวันนี้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดแผนการเดินรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ระยะทาง 421 กิโลเมตร ที่ปัจจุบันได้เปิดเดินรถไฟทางคู่ช่วงสถานีบ้านคูบัว – สถานีสะพลี ระยะทาง 348 กิโลเมตรไปแล้ว และจะเปิดใช้งานเดินรถไฟทางคู่เพิ่มอีก 72 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

ADVERTISMENT

ประกอบด้วย ด้านทิศใต้ของย่านสถานีนครปฐม (ประแจหมายเลข 126) – สถานีบ้านคูบัว ระยะทาง 57 กิโลเมตร และช่วงสถานีสะพลี-สถานีชุมพร (รวมหน้าย่านสถานีชุมพร ราง 1 และราง 3 ) ระยะทาง 15 กิโลเมตร ส่งผลให้สามารถเดินรถไฟทางคู่ได้รวมระยะทาง 420 กิโลเมตร โดยใช้ระบบทางสะดวก (E-token) เพื่อความปลอดภัยในการเดินรถ โดยยังคงเหลือช่วงย่านสถานีนครปฐมประมาณ 1 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดใช้งานได้ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2567 นี้

ส่วนงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณของรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร (สัญญา 7) ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 59.762 คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2568 จากนั้นจึงจะเปิดรถไฟทางคู่สายใต้แบบเต็มรูปแบบต่อไป

ดร.พิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเร่งรัดการเปิดใช้งานรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา – คลองขนานจิตร ที่ปัจจุบันมีคืบหน้าแล้วร้อยละ 97 เหลือช่วงที่ต้องรอเงินค่าเวนคืนเพิ่มเติมที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี ก่อนดำเนินการก่อสร้างบริเวณทางลงยกระดับมวกเหล็ก และพื้นที่ส่วนที่เหลือ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณปีเศษ คาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานทางคู่ในระยะแรก ช่วงสถานีมาบกะเบา-สถานีมวกเหล็กใหม่ (ใช้ทางใหม่เข้าอุโมงค์ที่ 1 (อุโมงค์ผาเสด็จ) และออกจากอุโมงค์ที่ 2 (อุโมงค์หินลับ) จะเบี่ยงขวาเข้าทางรถไฟเดิมก่อนถึงสถานีมวกเหล็กใหม่) ระยะทาง 13 กิโลเมตร และช่วงสถานีบันไดม้า – สถานีคลองขนานจิตร ระยะทาง 30 กิโลเมตร รวมระยะทาง 43 กิโลเมตรได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 นี้

ส่วนการเปิดใช้งานอุโมงค์ที่ 3 (อุโมงค์ลำตะคอง) ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างเตรียมก่อสร้างทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 237 เมตรไปบรรจบทางรถไฟเดิม คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานปลายปี 2567 นี้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เร่งรัดการรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ โดยเฉพาะสัญญาที่ 1 ช่วงบ้านกลับ-โคกกระเทียม ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 92 โดยให้มีการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จให้ชัดเจน เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมระบบขนส่งสาธารณะขนาดรอง (feeder) มารองรับการเชื่อมต่อให้สอดคล้องกับช่วงที่มีการเปิดใช้งานสถานีลพบุรีแห่งใหม่ประมาณปลายปี 2567 นี้

ดร.พิเชฐ กล่าวปิดท้ายว่า การก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ปัจจุบันมีความคืบหน้างานโยธาไปมากพอสมควร และอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณให้แล้วเสร็จตามแผนงาน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการรถไฟทางคู่ เพื่อให้สามารถเปิดใช้งานเดินรถไฟทางคู่ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถรองรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image