เคอรี่ รถไฟฟ้าชมพู-เหลือง ฉุดบีทีเอสกรุ๊ป ขาดทุน 5.2 พันล้าน งดจ่ายปันผลครั้งแรก
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) รายงานภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566/67 มีรายได้รวม 24,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% หรือ 248 ล้านบาท จากปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจาก
1.การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับ จำนวน 1,094 ล้านบาท และ 2.รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น จำนวน 726 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา ภายใต้ธุรกิจ MIX
และการรับรู้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวถูกหักกลบด้วย การลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 904 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
ด้านค่าใช้จ่ายรวม เพิ่มขึ้น 24.7% หรือ 4,333 ล้านบาท จากปีก่อน เป็น 21,843 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวใน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส
(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEX) จำนวน 4,363 ล้านบาท
ทั้งนี้ บีทีเอส กรุ๊ป บันทึกกำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 8,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% หรือ 469 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ของธุรกิจ MOVE ซึ่งได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าและส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วย Recurring EBITDA ของธุรกิจ MIX ที่ลดลง
สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารซึ่งเป็นผลจากการขยายธุรกิจบริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) (TURTLE) และบริษัท แรบบิท แคช จำกัด (RCash) ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ผลขาดทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นใน KEX และผลขาดทุนจากการดำเนินงานในบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART)
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากการดำเนินงานในบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจ MATCH ปรับตัวลง
โดยขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 5,241 ล้านบาท ปัจจัยหลักจาก 1.ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ของผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX 2.การบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ส่วนใหญ่มาจากแรบบิท โฮลดิ้งส์ 1 ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX) และ 3.ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
สำหรับมุมมองผู้บริหารต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 สภาพัฒน์ประมาณการการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 2.0-3.0% ต่อปี จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะลดลง 1.8% เนื่องจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาล และจากคาดการณ์ของตลาด อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มลดลง 0.5% มาอยู่ที่ 2.0% เป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
ในส่วนของธุรกิจภายใต้บีทีเอส กรุ๊ป ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ตามสัญญากับทั้ง กทม. และภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566/67 บริษัท ไม่ได้รับชำระรายได้ตามสัญญาดังกล่าวจาก กทม. อันเนื่องมาจากข้อพิพาททางกฎหมายที่เกิดขึ้น ทว่าข้อกังวลเหล่านี้มีแนวโน้มคลี่คลายลง
หลังจาก กทม.ได้ชำระเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยค้างชำระหนี้ E&M จำนวนประมาณ 23.3 พันล้านบาท เมื่อ 2 เม.ย.2567 บริษัทคาดว่าจะได้รับการชำระคืนหนี้ O&M ในไม่ช้าเช่นกัน
นอกเหนือจากเงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่อง จำนวน 1.94 หมื่นล้านบาท การได้รับชำระหนี้ E&M รวมถึงหนี้ O&M ที่คาดว่าจะได้รับชำระ อีกจำนวน 3.63 หมื่นล้านบาท และเงินอุดหนุนจากภาครัฐสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง จำนวน 4.8 พันล้านบาทต่อปีจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดของบีทีเอส กรุ๊ป อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทคาดการณ์ว่าจะเผชิญกับผลขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง แต่คาดการณ์ว่าจะไม่มีการรับรู้การด้อยค่าเงินลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมในปี 67/68 ทั้งนี้ จากผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในปี 66/67 คณะกรรมการบริษัทได้ทบทวนและพิจารณาอย่างรอบคอบในการงดการจ่ายเงินปันผล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2553
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการผลขาดทุนสะสมในงบแสดงฐานะการเงินตลอดจนการกลับมาสู่การทำกำไรของบริษัท เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลอีกครั้งได้โดยเร็วที่สุด