ซีอีโอหญิง ไทย สมายล์ บัส ‘กุลพรภัสร์’ พลิกประวัติศาสตร์ขนส่งสาธารณะสีเขียว กางภารกิจใหญ่ปี’67

ซีอีโอหญิง ไทย สมายล์ บัส ‘กุลพรภัสร์’
พลิกประวัติศาสตร์ขนส่งสาธารณะสีเขียว
กางภารกิจใหญ่ปี’67

หลายคนอาจจะคุ้นตาหรือเคยใช้บริการ รถเมล์ไฟฟ้าสีน้ำเงินสุดไฮเทคที่ติดเครื่องปรับอากาศภายในตัวรถของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ผู้นำเทรนด์ด้านการให้บริการนวัตกรรมรถบัส และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า แห่งแรกในประเทศไทย

เป้าหมายหลักเพื่อการยกระดับพลิกโฉมระบบขนส่งสาธารณะในเมืองหลวงให้ครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนารถเมล์โดยสาร หรือเรือพลังงานสะอาด

พร้อมนำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในระบบขนส่งมวลชนไทยมากขึ้นเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของยุคดิจิทัล ภายใต้สโลแกน “เดินทางด้วยรอยยิ้ม และ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

ADVERTISMENT

มีโอกาสพูดคุยกับซีอีโอหญิงคนเก่ง “คุณกิ๊ก-กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) ผู้ให้บริการรถโดยสารประจำทางและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า EV ได้รับรู้มุมมอง แนวคิดบริหาร น่าสนใจอย่างมาก…

ADVERTISMENT

คุณกิ๊กระบุว่า จากการดำเนินธุรกิจรถเมล์ไฟฟ้าที่ให้บริการประชาชนมาเป็นเวลา 2 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 บริษัท ยังคงเติบโตต่อเนื่อง มีผู้ใช้บริการมากกว่า 300,000 คนต่อวัน และโกยรายได้เฉลี่ย 5 ล้านบาทต่อวัน

และในปี 2567 นี้ ไทย สมายล์ บัส ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการรถเมล์โดยสารสูงสุด 7 แสนคน และกระตุ้นรายได้สูงสุดถึง 14 ล้านบาทต่อวัน

ไทย สมายล์ บัส มุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการขนส่งสาธารณะด้วยการพัฒนารถเมล์พลังงานไฟฟ้าเจ้าแรกของประเทศไทย ให้เป็นขนส่งสาธารณะอันดับ 1 ในอาเซียน ทั้งการพัฒนาบุคลากร เพิ่มจำนวนรถ ขยายเส้นทางให้บริการ รวมถึงปรับปรุงและเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน บริษัทมีจำนวนรถเมล์ไฟฟ้าพร้อมให้บริการประชาชนมากถึง 2,350 คัน ใน 123 เส้นทาง และมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนให้ครบ 3,100 คัน ซึ่งมากกว่าจำนวนรถที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนดไว้ถึง 45% เพื่อนำมาเพิ่มความถี่ในการให้บริการอย่างเหมาะสม

“ไทย สมายล์ บัส เรามองภาพใหญ่และคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก โดยคาดหวังยกระดับขนส่งสาธารณะในประเทศไทยให้ดีขึ้น” น.ส.กุลพรภัสร์กล่าว

คุณกิ๊กระบุอีกว่า ไทย สมายล์ บัส นอกจากการพัฒนาระบบรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วนั้น ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาและเอาใจใส่บุคลากรมากขึ้น และเดินหน้ายกระดับการบริการตามข้อร้องเรียนของประชาชน โดยเฉพาะการให้บริการของ “กัปตันเมล์” และ “บัสโฮสเตส”

โดยบริษัทได้จัดทยอยส่งพนักงานเข้ารับการฝึกอบรมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ 10 หลักสูตรจากสถาบันฝึกอบรม 3K Solution Management ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมวิทยากรมืออาชีพ เพื่อปรับปรุงพนักงานกัปตันเมล์และบัสโฮสเตสให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานและมีจิตใจพร้อมให้บริหาร และสอดรับกับแนวคิด SMILE “บริการด้วยใจ ขับขี่ปลอดภัยบนท้องถนน” โดยตัวหลักสูตรได้รับการการันตีมาตรฐานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมการขนส่งทางบก

ปัจจุบันพนักงานของ “ไทย สมายล์ บัส” สำเร็จวิชาโปรแกรมอบรมแล้ว 2,341 คน และในอนาคตพนักงานกัปตันเมล์และบัสโฮสเตสของ ไทย สมายล์ บัสจะต้องผ่านการอบรมหลักสูตรของบริษัททั้งหมดก่อนออกมาให้บริการแก่ผู้โดยสาร รวมไปถึงทางบริษัทมีนโยบายที่ให้ความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงานทุกคน

โดยรายได้ขั้นต่ำของพนักงานกัปตันเมล์จะอยู่ที่ 400 บาทขึ้นไปต่อวัน และคาดหวังปรับคุณภาพชีวิตของแรงงานกัปตันเมล์และบัสโฮสเตสให้ดีขึ้น และอยากให้พนักงานเหล่านี้มีความสุขในการมาทำงานและรักงานบริการ

คุณกิ๊กระบุว่า ขณะเดียวกันปีนี้ ไทย สมายล์ บัส จะเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น 40-60% ผ่านการงัดกลยุทธ์การตลาด เน้นโฆษณาสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครสำหรับการโปรโมตควบคู่กับการนำเสนออัตราจัดเก็บค่าโดยสารในราคาเพียง 10-25 บาท

รวมทั้งพัตนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่น กล้องนับจำนวน ผู้โดยสาร (Passenger Counter) เพื่อบันทึกสถิติผู้เข้ามาใช้บริการ และติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV รอบคันที่จะคอยตรวจดูความปลอดภัย ทั้งภายในและภายนอกตัวรถโดยสารและจับพิกัดสัญญาณ GPS เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการ

รวมไปถึงพัฒนาระบบแอพพลิเคชั่น TSB GO ที่เชื่อมต่อการเดินทาง “รถ-เรือ-ราง” ครบวงจรและสามารถติดตามระยะเวลาการเดินทางและสถานะเส้นทางของรถเมล์และเรือโดยสารได้

โดยกลุ่มผู้บริหารไทย สมายล์ บัส หวังจะใช้กลยุทธ์เหล่านี้จูงใจกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนและนักศึกษาให้เข้ามาใช้บริการรถเมล์ไฟฟ้ามากขึ้น

คุณกิ๊กระบุถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่า จากปัญหาสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ไทย สมายล์ บัส เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพภาคครัวเรือน ดังนั้น ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไทย สมายล์ บัส จึงอาสาช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ปกครองช่วงเปิดเทอม

โดยการเปิดแคมเปญให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 12 ปี ขึ้นรถเมล์ไฟฟ้าฟรี จากปัจจุบันที่มีอัตราการจัดเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 10-15-20-25 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี คือวันที่ 31 ธันวาคม 2567

นอกจากนั้น ผู้โดยสารที่ซื้อบัตรโดยสาร HOP Card ทางทีมการตลาดแนะนำให้ผู้โดยสารลงทะเบียนบัตร โดยสิทธิประโยชน์จะได้รับเมื่อลงทะเบียน นอกจากชำระค่าโดยสารสูงสุดเพียง 40 บาทต่อวัน เมื่อโดยสารรถหรือเรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะนั่งรถต่อเรือ เรือต่อรถ ชำระค่าโดยสารสูงสุดเพียง 50 บาทบาทต่อวันเท่านั้น

โดยบัตรโดยสาร HOP Card ยังสามารถตามหาเจ้าของบัตรคืนได้ง่ายขึ้น จากชื่อที่ผู้โดยสารที่ลงทะเบียน ในกรณีที่ทำบัตรสูญหาย

สำหรับบัตรโดยสาร HOP สามารถซื้อได้ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ SHOPEE กับอีกหนึ่งช่องทางผ่าน “บัสโฮสเตส” พนักงานจัดเก็บค่าโดยสารบนรถ ใบละ 100 บาท มีวงเงินในบัตร 100 บาท การออกบัตรไม่มีค่าธรรมเนียม

สำหรับเป้าหมายการตลาดในอนาคต คุณกิ๊กระบุว่า ทางทีมอยากเน้นการทำโฆษณาเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายสำหรับกระจายข้อมูลเกี่ยวกับขนส่งสาธารณะไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้เป็นที่รู้จักและชักชวนให้คนไทยสนใจอยากมาใช้บริการมากขึ้น

คุณกิ๊กยังระบุถึงอุปสรรคที่ ไทย สมายล์ บัส กำลังประสบว่า แม้ ไทย สมายล์ บัส จะมีรถเมล์ไฟฟ้าจำนวน 2,350 คัน ให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางภายในกรุงเทพมหานคร แต่ก็ไม่สามารถวิ่งได้เต็มฟลีต เนื่องจากมีปัญหาจากการที่รถขนส่งอื่นทั้ง ขสมก.และรถร่วมอื่นๆ วิ่งทับซ้อน แย่งลูกค้า ประมาณ 70 เส้นทาง บนเส้นทางที่บริษัทได้รับใบอนุญาต จำนวน 123 เส้นทาง

โดยเส้นทางในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ทางไทย สมายล์ บัส ประสบปัญหารถร่วมอื่น และ ขสมก.วิ่งทับซ้อนมีหลักๆ 12 สาย อ้างอิงจากข้อมูลที่ทางบริษัทได้ตรวจเช็กเมื่อวันที่ 13 พ.ค.67 ที่ผ่านมา โดยรถร่วมที่เป็นรถร้อนสายเส้นทางหลักที่กระทบเปอร์เซ็นสูงต่อการเดินรถของไทย สมายล์ บัส มีดังนี้

1.สาย 27 เส้นทาง มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คิดเป็น 72% ที่รถร่วมทับซ้อนกับไทย สมายล์ บัส

2.สาย 71 เส้นทาง ปัฐวิกรณ์-วัดธาตุทอง คิดเป็น 50% ทับซ้อนกับไทย สมายล์ บัส

3.สาย 2 เส้นทาง สำโรง-ปากคลองตลาด คิดเป็นร้อยละสูงขึ้นแตะ 76% ที่ทับซ้อนกับไทย สมายล์ บัส

4.สาย 4 เส้นทาง ท่าน้ำภาษีเจริญ-ท่าเรือคลองเตย คิดเป็น ร้อยละสูงมากถึง 85% ทับซ้อนกับไทย สมายล์ บัส

5.สาย 12 เส้นทาง ห้วยขวาง-ปากคลองตลาด คิดเป็น 85% เท่ากับสาย 4

6.สาย 77 เส้นทาง หมอชิต 2-เซ็นทรัลพระราม 3 คิดเป็น 74% ทับซ้อนกับไทย สมายล์ บัส

7.สาย 82 เส้นทาง ท่าน้ำพระประแดง-พาหุรัด คิดเป็น 74% เท่ากับสาย 77

8.สาย 8 แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ เป็นรถร่วมเส้นทางสายที่ ไทย สมายล์ บัสได้รับผลกระทบมากที่สุด สูงสุดถึง 96%

ปัญหารถร่วมทับซ้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของ บริษัทที่ ลดลงกว่า 60 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผนปฏิรูปรถโดยสารสาธารณะ 1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ ของกรมการขนส่งทางบก ยังคงมีปัญหาหลายด้านและทางผู้บริหารเองมองว่าปัญหานี้จะเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจขนส่งสาธารณะ

ดังนั้น ไทย สมายล์ บัส จึงขอเสนอแนวทาง 4 ข้อเพื่อหวังปฏิรูปวงการขนส่งสาธารณะไทย และแก้ไขปัญหาทั้งระบบ คือ

1.แก้ไขกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้อต่อการเดินรถ เช่น อนุญาตให้ปรับย้ายรถในเส้นทางกลุ่มเดินรถเดียวกันได้ เพื่อเสริมรถในเส้นทางที่มีความต้องการสูง ตอบโจทย์ผู้เดินทาง

2.เร่งแก้ไขปัญหาเส้นทางทับซ้อนและรถเถื่อน ที่ลักลอบรวมถึงสวมสิทธินำรถมาวิ่งให้บริการประชาชนทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก นอกจากไม่มีมาตรฐานความปลอดภัย ยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากการแย่งผู้โดยสาร เฉพาะของไทย สมายล์ บัส พบปัญหารถเมล์เถื่อนและวิ่งทับซ้อนมากกว่า 50% จากที่ให้บริการทั้งหมด 123 เส้นทาง

3.ขอให้เร่งสรุปความชัดเจนเลขสายใหม่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อความสะดวกและจดจำง่าย เนื่องจากปัจจุบันได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าจดจำยาก และไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

4.ขอให้ร่วมบูรณาการยกระดับรถเมล์ทั้งระบบ โดยเฉพาะด้านบุคลากร ซึ่งไทย สมายล์ บัส ยินดีที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน

โดย ไทย สมายล์ บัส เคยทำหนังสือยื่นเสนอต่อองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อส่งต่อให้กับกรมการขนส่งทางบกไปตั้งนานแล้ว แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และเคยถามว่ารถร่วมฯ อื่น และ ขสมก.จะถอนรถออกจากเส้นทางเมื่อใดก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ปัญหาที่เจอ เช่น เส้นทางหนึ่งจะต้องมีรถ ขั้นต่ำ 30 คัน แต่ยังมีรถร่วมฯ วิ่งอยู่ 20 คัน หรือทับซ้อน 60% ขณะที่บริษัทมีต้นทุนค่าดำเนินการที่ 3,500 บาทต่อคันต่อวัน แต่เราไม่สามารถหารายได้เต็มประสิทธิภาพได้เพราะมีรถอื่นมาวิ่งแย่งรายได้เราไป โดยรายได้ที่หายไปสูงถึง 3,000 บาทต่อวัน

“อยากให้ทางเอกชนและ ขสมก. จับมือช่วยกันปฏิรูปการขนส่งสาธารณะทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เพียงรถเมล์อย่างเดียว และบางกฎระเบียบก็ควรมีการปรับแก้ไขได้ แต่ปัญหาตอนนี้คือประชาชนได้ใช้รถโดยสารที่ร้อนมาก บางคันเกินสภาพ ไม่ปลอดภัย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยตอนนี้ไม่ควรมีรถร้อนแล้ว 40 กว่าปีแล้วที่ประเทศไทยยังคงใช้รถร้อนให้บริการผู้โดยสารอยู่ ขนส่งไทยควรถูกยกระดับ”คุณกิ๊กแสดงความเห็น

คุณกิ๊กระบุถึงก้าวต่อไปในอนาคตของ ไทย สมายล์ บัส ว่า ตั้งใจจะปรับปรุงพัฒนาการบริการของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพพร้อมให้บริการผู้โดยสาร และพร้อมเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้ประกอบการเอกชนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทยให้ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้นและในอนาคต

ไทย สมายล์ บัส คาดหวังที่จะเพิ่มจำนวนรถโดยสารไฟฟ้าและเรือโดยสารไฟฟ้ามากขึ้น และเปิดเส้นทางวิ่งรถเมล์ไฟฟ้าในกรุงเทพฯมากขึ้น ปรับปรุงการวิ่งเส้นทาง และเปิดเส้นทางเชื่อมต่อกรุงเทพฯกับทางเขตปริมณฑลและมีแผนที่จะเพิ่มเส้นทางในเขตต่างจังหวัด

โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับเป็นขนส่งมวลชนไทยให้ทัดเทียมต่างประเทศ พัฒนาโมเดลธุรกิจแบบ B2C (Business To Customer) ในรูปแบบแผนการนำเสนอและพัฒนาด้านการบริการขนส่งสาธารณะที่ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของผู้โดยสารให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสาร ด้วยการเดินทางที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และบริการที่ได้มาตรฐาน

ก้าวต่อไปของไทย สมายล์ บัส คือ อยากเห็นประชาชนหันมาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะกันมากขึ้น และอยากเห็นประชาชนชาวไทยได้ใช้บริการ ขนส่งสาธารณะ ที่มีความทันสมัย สะอาด สะดวกสบาย ปลอดภัย และไร้ PM2.5 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพลิกโฉมและปฏิรูประบบขนส่งมวลชนของไทยให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากขึ้น

ควบคู่ไปกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เกิดเป็นมาตรฐานของการบริการที่มีสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

บีม คณะโจทย์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image