ปัจจุบันทำเลโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ ย่านถนนราชพฤกษ์และถนนชัยพฤกษ์ ถือว่าเป็นทำเลทองที่บิ๊กแบรนด์อสังหาริมทรัพย์เข้าไปลงทุนโครงการบ้านหรู รับการขยายตัวของเมืองกันจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ภายหลังกรมทางหลวงชนบท ผุดโครงข่ายใหม่ ทะลวงพื้นที่ตาบอดขนาดใหญ่ในพื้นที่นนทบุรีและปทุมธานีให้กลายเป็นทำเลทองในปัจจุบัน
ด้วยการขยายเส้นทางถนนราชพฤกษ์และชัยพฤกษ์เชื่อมกับถนนสายหลักที่อยู่โดยรอบ โดยต่อขยายถนนราชพฤกษ์เชื่อมกับถนนสาย 345 (ปทุมธานี-บางบัวทอง) วิ่งทะลุยาวไปบรรจบถนนสาย 346 (รังสิต-ปทุมธานี) เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี
ขณะเดียวกันตัดถนนสายใหม่ต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษกในแนวตะวันออก-ตะวันตก ต่อขยายจากถนนชัยพฤกษ์ไปชนกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก และขยายถนนชัยพฤกษ์เดิมที่ต่อเชื่อมกับสะพานพระราม 4 ให้เป็นถนนขนาด 10 ช่องจราจร จะแล้วเสร็จปลายปี 2567 รองรับปริมาณการจราจรและเมืองที่เติบโตมายังโซนนี้มากขึ้น
ล่าสุด ทำเลโซนนี้กำลังร้อนแรงมากยิ่งขึ้น หลัง 8 ยักษ์อสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และกลุ่มฮ่องกง แลนด์ ประกาศบูมทำล “ถนนหอการค้าไทย” พลิกที่ดิน 1,300 ไร่ พัฒนาเป็นฮับบ้านหรู ระดับราคาตั้งแต่ 7-100 ล้านบาท จำนวน 4,600 ยูนิต มูลค่า 50,000 ล้านบาท
ย้อนจุดเริ่มต้น “ถนนหอการค้าไทย” เส้นนี้ จุดพลุโดย “พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค” ที่ทุ่มเงินกว่า 400 ล้านบาทก่อสร้างขึ้นมา หลังเข้าไปซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ โดยเริ่มเปิดใช้เมื่อปี 2557 ซึ่งแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างถนนชัยพฤกษ์และถนนสาย 345 มีระยะทาง 4 กิโลเมตร ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาแล้ว 20 โครงการ จำนวน 3,100 ยูนิต มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาที่ดินมีการซื้อขายกันอยู่ที่ไร่ละ 14 ล้านบาท
จากถนนหอการค้าไทย พาลัดเลาะทำเลถนน 345 และบริเวณใกล้เคียง โดย “โสภณ พรโชคชัย” ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอพฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ถนน 345 และบริเวณใกล้เคียง ณ ไตรมาสแรกของปี 2567 พบว่ามีทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ ระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาท ถึงมากกว่า 20 ล้านบาท มีจำนวนรวม 10,980 หน่วย รวมมูลค่าโครงการ 52,450 ล้านบาท ขายได้แล้วจำนวน 5,836 หน่วย มูลค่า 21,908 ล้านบาท ยังคงเหลือ 30,541 ล้านบาท โดยมีอัตราการขาย 1.8% ต่อเดือน ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 4.78 ล้านบาท
แยกเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 3,853 หน่วย มูลค่า 32,923 ล้านบาท ขายได้แล้วจำนวน 1,476 หน่วย มูลค่า 10,846 ล้านบาท ยังคงเหลือ 22,077 ล้านบาท โดยมีอัตราการขาย 1.7% ต่อเดือน ลงลึกตามระดับราคา พบว่า ราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 183 ยูนิต มูลค่ารวม 740 ล้านบาท ขายได้แล้ว 68 ยูนิต มูลค่า 294 ล้านบาท คงเหลือ 115 หน่วย มูลค่า 446 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.9% ต่อเดือน ระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีจำนวน 2,938 ยูนิต มูลค่า 20,658 ล้านบาท ขายได้แล้ว 1,292 ยูนิต มูลค่า 8,602 ล้านบาท คงเหลือ 12,057 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.8% ต่อเดือน ระดับราคา 10-20 ล้านบาท จำนวน 572 ยูนิต มูลค่า 7,094 ล้านบาท ขายได้แล้ว 83 ยูนิต มูลค่า 974 ล้านบาท คงเหลือ 489 ยูนิต มูลค่า 6,119 ล้านบาท ระดับราคามากว่า 20 ล้านบาท มีจำนวน 160 ยูนิต มูลค่า 4,431 ล้านบาท ขายได้แล้ว 33 ยูนิต มูลค่า 977 ล้านบาท คงเหลือ 127 ยูนิต มูลค่า 3,455 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.7% ต่อเดือน
สำหรับบ้านแฝด “โสภณ” กล่าวว่า มีจำนวน 1,253 ยูนิต มูลค่ารวม 5,930 ล้านบาท ขายได้แล้ว 369 ยูนิต มูลค่า 1,633 ล้านบาท คงเหลือ 884 ยูนิต มูลค่า 4,298 ล้านบาท มีอัตราการขาย 2% ต่อเดือน โดยระดับราคา 2-3 ล้านบาท มี 10 ยูนิต และขายหมดแล้ว ส่วนราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 860 ยูนิต มูลค่า 3,727 ล้านบาท ขายได้แล้ว 299 ยูนิต มูลค่า 1,265 ล้านบาท คงเหลือ 561 ยูนิต มูลค่า 2,462 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.1% ต่อเดือน
ขณะที่ราคา 5-10 ล้านบาท มีจำนวน 383 ยูนิต มูลค่ารวม 2,173 ล้านบาท ขายได้แล้ว 60 ยูนิต มูลค่า 338 ล้านบาท คงเหลือ 323 ยูนิต มูลค่า 1,835 ล้านบาท มีอัตราการขาย 4.2% ต่อเดือน
สำหรับซัพพลายทาวน์เฮาส์ “โสภณ” ระบุมีจำนวน 5,826 ยูนิต มูลค่ารวม 13,391 ล้านบาท ขายได้แล้ว 3,948 ยูนิต มูลค่า 9,248 ล้านบาท คงเหลือ 4,143 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.7% ต่อเดือน แยกตามระดับราคาพบว่าราคา 1-2 ล้านบาท มีจำนวน 2,392 หน่วย มูลค่า 4,327 ล้านบาท ขายได้แล้ว 1,335 ยูนิต มูลค่า 2,328 ล้านบาท คงเหลือ 1,999 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.6% ต่อเดือน ระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 2,913 ยูนิต มูลค่า 7,410 ล้านบาท ขายได้แล้ว 2,188 ยูนิต มูลค่า 5,593 ยูนิต คงเหลือ 725 ยูนิต มูลค่า 1,817 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.9% ต่อเดือน ส่วนระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 521 ยูนิต มูลค่า 1,654 ล้านบาท ขายได้แล้ว 425 ยูนิต มูลค่า 1,326 ล้านบาท คงเหลือ 96 ยูนิต มูลค่า 327 ล้านบาท มีอัตราการขาย 1.2% ต่อเดือน ด้าน “อาคารพาณิชย์” มีจำนวน 78 ยูนิต มูลค่า 205 ล้านบาท ขายได้แล้ว 43 ยูนิต มูลค่า 181 ล้านบาท คงเหลือ 5 ยูนิต มูลค่า 24 ล้านบาท มีอัตราการขาย 4.6%
จากภาพรวมที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ “โสภณ” ย้ำว่า ซัพพลายมีอัตราการดูดซับค่อนข้างดีในทุกประเภท เนื่องจากเป็นทำเลที่เดินทางเข้าเมืองได้ง่าย ประกอบกับราคาที่ดินยังไม่สูงมากจนเกินไป โดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อไร่ หรือตารางวาละ 20,000-25,000 บาท ขณะเดียวกันได้อานิสงส์จากการที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการจำนวนมาก จึงเป็นการจุดพลุให้ทำเลโซนตะวันตกคึกคักมากยิ่งขึ้น
สอดคล้องกับ “ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทำเลโซนถนน 345 และถนนหอการค้าไทย ถือเป็นโซนดาวรุ่ง ปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เข้าไปพัฒนาโครงการกันจำนวนมากโดยเฉพาะโซนถนนหอการค้าไทย มีโครงการทุกระดับราคา ยังมีศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงเรียนนานาชาติ ขณะที่ราคาที่ดินในขณะนี้ถือว่ายังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับถนนราชพฤกษ์ช่วงต่อเชื่อมจากนนทบุรีกับกรุงเทพฯ
ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรอพัฒนา 79 ไร่ ติดถนน 345 ใกล้ถนนหอการค้าไทย จะใช้เวลาพัฒนา 3 ปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป รองรับกำลังซื้อกลุ่มระดับกลาง-บน และการอยู่อาศัยที่ขยับขยายมายังโซนนี้มากขึ้น
อีกความคืบหน้าของทำเลทอง ที่จะเฟื่้องฟูของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อยอดอีกเยอะในอนาคต