ตลาดหุ้นไทยเข้าโค้งสาม ‘รอฟื้น’ พิษ ศก.-วิกฤตศรัทธา ขวางสู่ 1,800 จุด

ตลาดหุ้นไทยเข้าโค้งสาม‘รอฟื้น’ พิษ ศก.-วิกฤตศรัทธา ขวางสู่1,800จุด

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ทรงเกือบทรุดและยังไม่มีท่าทางว่าจะปรับขึ้นมาฟื้นตัวได้เหมือนอย่างที่หลายภาคส่วนประเมินไว้ อาทิ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนจากคาดการณ์ของภาคเอกชนที่ประเมินว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปี 2567 คงหนีไม่พ้น ดันไม่ถึง 3% เพราะต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบและเสี่ยง ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดีเท่าที่ควร ภาคส่วนที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้ในช่วงเวลานั้นๆ ได้เป็นอย่างดี คือ ภาคการลงทุน เพราะตลาดทุนจะขึ้นก่อนหรือลงล่วงหน้า หากรับรู้ได้ถึงทิศทางในอนาคตที่ไม่สดใส จึงเห็นภาพตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2566 แม้ในช่วงต้นปีดัชนีจะวิ่งสูงสุดถึง 1,670 จุด แต่เมื่อเกิดกรณีส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้น รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยง สุญญากาศของรัฐบาล และงบประมาณที่หายไป ทำให้ดัชนีไหลลงจนต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ระดับ 1,288 จุด

⦁หุ้นตกเท่ากับเงินตกหาย

แน่นอนว่าความกังวลในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดีอย่างที่หวัง หลักๆ เป็นเรื่องเงินในพอร์ตของนักลงทุนแน่นอน ที่หดหายไปทุกครั้งหากมีการปรับลดลงของดัชนีหุ้น สะท้อนไปถึงหุ้นรายตัวทั้งกระดาน เมื่อภาพดูหนักหนาและยาวนานกว่าที่คิด รัฐบาลนำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกันแถลงข่าวการขับเคลื่อนตลาดทุน ภายใต้หัวข้อความท้าทายสู่โอกาส และการขับเคลื่อนตลาดทุน คาดหวังว่าจะช่วยเรียกความมั่นอกมั่นใจกลับคืนมาได้

ADVERTISMENT

เพื่อเป็นการสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ได้ประกาศปรับเกณฑ์กองทุนไทยอีเอสจี ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเป็น 300,000 บาท แยกออกจากวงเงินลงทุนกองทุนอาร์เอ็มเอฟ และปรับระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี (นับจากวันที่ซื้อ) จากเดิม 8 ปี รวมถึงฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ส่วนใหญ่มองว่าเป็นสาเหตุหลักของการไม่เข้าลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งปัจจุบันมีหลายตัวเลือกในการลงทุนได้มากขึ้น และการไปต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ได้ดำเนินการเพิ่มมาตรการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยเฉพาะการซื้อขาย เน้นทั้งกระบวนการตั้งแต่ก่อนเข้าจดทะเบียน หลังเข้ามา
จดทะเบียน การซื้อขาย และยกระดับฟ้องร้องให้เร็วขึ้นเมื่อกระบวนการฟ้องร้องจบแล้ว ก็มีการเพิกถอนออกจากตลาดด้วย

⦁หวังจำกัดทางลงดัชนีสำเร็จ

ADVERTISMENT

ภาพหลังจากประกาศใช้มาตรการต่างๆ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นวิ่งอยู่ที่ระดับ 1,311 จุด จากนั้นวันที่ 12 กรกฎาคม วิ่งขึ้นมาที่ระดับ 1,332 จุด แต่ระหว่างทางก็เห็นการปรับลดลงด้วยเช่นกัน ถือเป็นความผันผวนอย่างต่อเนื่องนั้น โดยนายพิชัยกล่าวว่า “อยากให้ใจเย็นๆ และรอประเมินทิศทางแนวโน้มในช่วงถัดไปอีกสักระยะ เพราะตอนนี้พอมีมาตรการออกมาแล้วทำให้ดัชนีหุ้นไทยจำกัดทางลงได้บ้าง ถือว่าในขั้นตอนแรกสามารถบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ก่อนจะเดินหน้าในขั้นตอนต่อไปเพิ่มเติม”

ขณะที่ นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2567 ดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวไซด์เวย์ต่อเนื่อง ดัชนีน่าจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาสนี้ เนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) โดยกำหนดแนวรับแรกดัชนีระดับ 1,270 จุด ตรงกับกรณีเลวร้ายสุดเดิมโดยอิงกับสมมุติฐานว่า ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในปี 2567 และกำหนดแนวรับสำคัญระดับ 1,240 จุด เป็นระดับเลวร้ายสุดใหม่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ ธปท.อาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้

แรงขายของนักลงทุนต่างชาติในไตรมาส 3/2567 ยังมีแรงขายเหลืออยู่ แต่จะไม่รุนแรงเท่ากับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่ได้ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากประเมินว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาท น่าจะมีแนวรับระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเตรียมเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก จะช่วยหนุนดุลการค้า รวมถึงการโยกย้ายเงินปันผลกลับของนักลงทุนต่างชาติก็ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว

⦁ต่างชาติเทขายกว่าแสนล้าน

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือวีไอ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสะสมแล้วหลักแสนล้านบาท เป็นการขายต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เป็นการขายสุทธิสูงมากเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่างชาติขายเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท รวมแล้วขายมาแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่การขายสุทธิไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ดัชนีหุ้นตกเสมอไป อย่างต่างประเทศมีการขายออกของต่างชาติ หุ้นไม่ได้ร่วงมากนัก สวนทางกับหุ้นไทย

ต้องยอมรับว่า นักลงทุนรายย่อยในตลาดหายไปจำนวนมาก เพราะโอกาสขาดทุนสูง ทำให้หมดแรงใจในการเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม รวมถึงกระสุนหรือเม็ดเงินในมืออาจมีไม่มากเท่าเดิมแล้ว บวกกับหากประเมินศักยภาพผลประกอบการหลายบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พบการติดลบอย่างต่อเนื่อง มีไม่กี่เซกเตอร์เท่านั้นที่ยังดูดี โดยบริษัทที่เคยถูกมองถึงว่าจะเป็นซุปเปอร์สต๊อก หรือโดดเด่นในการซื้อสะสมระยะยาว ผลประกอบการออกมาไม่ได้แย่ ก็น่าผิดหวัง เพราะการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ทยอยลดลง สอดคล้องกับที่หุ้นมีอาการคอร์เนอร์แตกมาก่อนแล้ว ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่สามารถที่จะหยุดการตกลงมาของหุ้นได้

⦁ชี้แก้โครงสร้างฉุดตลาดทุน

ปัญหาของตลาดหุ้นไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ไขยาก คือ 1.ประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนคนเกิดใหม่น้อยลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า ส่งผลต่อจีดีพีลดลง และลดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับคนวัยทำงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีต่ำ 2.ระบบการปกครองประเทศที่ค่อนข้างล้าสมัยและก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วพอ เพราะระบบการปกครองของไทย ไม่สามารถให้เสรีภาพแก่ประชาชนได้ และรัฐบาลก็ไม่สามารถมีเสถียรภาพมากพอที่จะปฏิบัติตามเจตจำนงนั้น และ 3.โครงสร้างของบริษัทซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ให้ทันคู่แข่ง จึงถูก
คู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแซงหน้า

“ปัญหาเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการปกครอง ส่งผลต่อการหยุดชะงักลงตั้งแต่ช่วง 10-15 ปีมาแล้ว การรัฐประหารเมื่อ 10 ปีที่แล้วแทบจะทำให้การพัฒนาหรือปรับปรุงโครงสร้าง โดยเฉพาะทางการเมืองสะดุดหยุดลงอย่างสิ้นเชิง แม้มุมมองทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะไม่ดีเลย แต่ราคาหุ้นของไทยก็ยังไม่ถูกพอแบบในตลาดหุ้นจีน ทำให้เหตุผลของการซื้อหุ้นไทยจึงน่าจะมีน้อยมาก โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศที่มีโอกาสเลือก ทำให้เห็นแรงขายออก และคาดว่าจะยังเทขายต่อไป” นายนิเวศน์กล่าว

⦁หุ้นไทยติดลบไม่ต่างจากเดิม

ภาพตลาดหุ้นไทยเคยวิ่งขึ้นไปสูงสุดถึงระดับ 1,800 จุด ซึ่งถือเป็นช่วงที่หุ้นไทยมีความสดใสมาก นักลงทุนต่างชาติรุมจีบ หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด แต่ก็เป็นภาพเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ปี 2561 จากนั้นเมื่อเผชิญวิกฤตโรคระบาด ตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ ก็ส่งผลให้ดัชนีไหลลงอย่างต่อเนื่อง แม้มีการคาดหวังว่าจะเห็นดัชนีกลับขึ้นไปถึง 1,700-1,800 จุดอีกครั้ง แต่ไฟแห่งความหวังดูทยอยแผ่วลงเช่นกัน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปี 2566 ดัชนีหุ้นไทยติดลบ 15% อยู่อันดับเกือบท้ายสุดของโลก สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นโลก (เอ็มเอสซีไอ) พุ่งขึ้น 20% พอมาถึงปี 2567 ไม่แตกต่างจากภาพปัจจุบันที่ตลาดปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมองว่าการที่ดัชนีหุ้นไทยจะวิ่งขึ้นไปได้ ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับรัฐบาล หากเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ผ่านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน จะช่วยดันกำไรบริษัทจดทะเบียนกลับมาได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทเองด้วย โดยโอกาสกลับขึ้นไปถึง 1,800 จุดอีกครั้ง ยังมีแน่นอน เพราะเคยขึ้นไปแล้ว แต่หากต้องการเห็นอีก 1-2 ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องทำอีกหลายอย่างเพื่อเอื้ออำนวยให้มีทางขึ้นไปถึงได้

ปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นไทย คือ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย ขยายตัวต่ำกว่า 2% ติดต่อกันสี่ไตรมาส และผลประกอบการที่แย่ของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่กำไรสุทธิลดลง 11% และขยายตัวไม่ถึง 2% ในไตรมาสแรกปีนี้ ในระยะสั้น เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์ เพราะทั้งเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ตัวช่วยสำคัญ คือ ทิศทางดอกเบี้ยโลกเริ่มกลับสู่ขาลง จะสนับสนุนการเติบโตของกิจกรรมเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ มักได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้าช่วงดอกเบี้ยโลกขาลง ที่ผ่านมาธนาคารกลางหลายแห่ง อาทิ ยุโรป แคนาดา สวีเดน เริ่มลดดอกเบี้ย และเชื่อว่าอีกหลายธนาคารกลาง รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมลดดอกเบี้ยครึ่งหลังปีนี้

⦁การเมืองร้อนฉุดเชื่อมั่น

ไพบูลย์ระบุอีกว่า ปัญหาที่มีผลต่อตลาดหุ้น และประเทศไทยในภาพรวมมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี อาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสุญญากาศทางการเมือง ทำให้เมื่อการเมืองไทยกลับมามีความไม่แน่นอนอีกครั้ง เกิดความยืดเยื้อ โดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนยังกังวล ซึ่งกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป โดยมองว่ากรณีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น เป็นเพียงปัจจัยสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน แต่แม้จะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ยังเป็นความเสี่ยงที่ไม่ถึงขั้นทำให้นักลงทุนไม่ลงทุนเลย เพราะเป็นการเปลี่ยนเพียงตัวบุคคล ไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาล และหากรัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันนโยบายทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวปี 2567 ได้ 2.5-2.6% และ 3% ในปี 2568 ตามที่ประกาศไว้ จึงเชื่อว่าหากเศรษฐกิจไทยดีขึ้นนักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้น จะเห็นการลงทุนโดยตรง และในตลาดหุ้นทยอยฟื้นตัวกลับมา

ส่วนปัจจัยบวกคือภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะอีกส่วนยังขยายตัวได้ดีคือทิศทางการค้าโลกเริ่มกลับสู่ขาขึ้น และองค์การการค้าโลก (WTO) คาดจะอยู่ในขาขึ้นต่อเนื่องถึงปีหน้าจะช่วยเศรษฐกิจไทยได้มาก เพราะส่งออกยังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด มีเม็ดเงินจากงบประมาณภาครัฐเร่งเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะงบประมาณด้านลงทุนปี 2567 เหลืออยู่อีก500,000 กว่าล้านบาท หากเร่งเบิกจ่ายได้ทั้งหมดในปีนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากเช่นกัน โดยต้องเร่งกู้ Trust and Confidence ให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผ่านการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ของนักลงทุน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและรวดเร็ว นอกจากนั้น รัฐบาลต้องไม่รีรอจะเพิ่มกำลังซื้อในตลาดหุ้นไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นให้ได้มากและเร็วที่สุด

⦁คาดดัชนีวิ่งไกลแตะ1,670จุด

หลังจากรัฐบาลประกาศใช้งบประมาณปี 2567 จะสามารถเบิกจ่ายได้ รวมถึงความคืบหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหลักอย่างดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2567 จะอยู่บริเวณ 1,650-1,670 จุด ภายใต้ MEYG ระดับ 3.3% อิงพีอีที่ 17.24 เท่า ใช้กำไรต่อหุ้น (อีพีเอส) ปี 2567 ที่ 96-97 บาทต่อหุ้น โดยมุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน ถือว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมค่อนข้างดีกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2567 ฟื้นตัว ประเมินอีพีเอสเติบโต 12% โดย บจ.กลุ่ม SET50 หรือบริษัทจดทะเบียน50 อันดับแรก กว่า 50% สามารถทำกำไรได้สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด

ส่วนมุมมองของมูลค่า พบว่าค่า PER ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่บริเวณ 14 เท่า มีค่า PBV ที่ 1.34 เท่า ถือว่าอยู่ระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีต ขณะที่หากพิจารณาระดับ Market Earing Yield Gap อยู่ที่ 4% ถือเป็นมูลค่าถูก และเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายถือว่าสิ้นสุดวัฏจักรขาขึ้นแล้ว และอยู่ในช่วงที่รอเวลาปรับลดลง สถานการณ์นี้จะทำให้ Market Earning Yield Gap ขยายตัวสูงขึ้นหากพิจารณาในมุมของเศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัว 3.5-4% แม้มีความล่าช้าของโครงการภาครัฐ แต่ระยะยาว แรงผลักดันผ่านนโยบายการคลัง แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ จะเรียกความเชื่อมั่น พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็งขึ้น

แต่ยังมีปัจจัยทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นได้ยากระยะสั้นโดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่าที่ควรเป็น มีมูลค่าการซื้อขายเบาบางเฉลี่ย 4.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทย สะท้อนถึงระดับความไม่มั่นใจของนักลงทุนจากหลากหลายปัจจัย ความไม่เป็นเอกภาพของแนวนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังของประเทศ อาทิ ท่องเที่ยว การให้วีซ่าฟรี 93 ประเทศ

ทั้งหมดนี้เป็นมุมมอง บนความหวังสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น กลับส่งผลตอบแทนติดลบ นอกจากประชาชนจะดิ้นรนเอาตัวรอดเองแล้ว ถึงคราวภาครัฐจะต้องขนทุกเครื่องมือเข้ามาช่วยบ้าง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image